ในเดือนกันยายนนี้ บลูบิค (BBIK) จะเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และจะเป็นหุ้นด้านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันตัวแรกของประเทศไทย วันนี้เราจึงอยากชวนมาดู 5 เหตุผลว่าทำไมถึงไม่ควรพลาดและมองข้ามหุ้น BBIK ไป
1. อยู่ในธุรกิจที่จะเป็นเมกะเทรนด์ไปอีก 10 ปี
มีคำกล่าวว่าการลงทุนไม่ใช่การซื้ออดีต แต่เป็นการซื้ออนาคต เมื่อต้องเลือกลงทุนหุ้นซักตัว หนึ่งในธีมการลงทุนที่น่าสนใจคือในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว Digital Transformation ถือเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่ไม่มีวันจบสิ้น เพราะในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไว ทำให้องค์กรต้องปรับตัวให้เร็วตามไปด้วย เพื่อให้ธุรกิจยังสามารถแข่งขันได้และเติบโตอย่างต่อเนื่อง
หากมองภาพรวมทั่วโลก ตลาด Digital Transformation คาดว่าจะโตเฉลี่ย 16.5% ภายในปี 2568 (อ้างอิงจาก MarketsandMarkets Research) แนวโน้มทั่วโลกมีผลสืบเนื่องมาถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยมีการประเมินว่าในปี 2564 ภาพรวมตลาด Digital Transformation จะมีมูลค่ารวม 280,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 442,000 ล้านบาท ในปี 2568 ซึ่งจะมีผลต่อการเติบโตของ GDP เฉลี่ยปีละ 0.4% (อ้างอิงจากข้อมูลของไมโครซอฟท์และไอดีซี เอเชียแปซิฟิก)
บลูบิค (BBIK) เป็นบริษัทคอนซัลต์ที่ทำด้าน Digital Transformation โดยให้คำปรึกษาเรื่องการนำเทคโนโลยีไปปรับใช้กับองค์กร เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจอย่างรอบด้าน ไม่ใช่แค่ช่วยแก้ปัญหา ขจัดข้อจำกัดที่องค์กรกำลังเผชิญอยู่ แต่รวมถึงการช่วยค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต
2. มีจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นในตลาด
โดยทั่วไปแล้ว บริษัทที่ปรึกษาบางแห่งเน้นให้บริการเรื่องการวางแผนกลยุทธ์ ส่วนบางแห่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบและซอฟต์แวร์เพียงอย่างเดียว ส่งผลให้แผนกลยุทธ์บางอย่างอาจนำไปใช้ไม่ได้จริง เพราะขาดฝ่ายที่ช่วยพัฒนาระบบรองรับ ขณะที่ฝั่งที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเดียวก็อาจขาดมุมมองเชิงธุรกิจ
จุดเด่นของบลูบิค ที่แตกต่างจากผู้เล่นอื่นในธุรกิจเดียวกัน คือการให้บริการแบบครบวงจร (End to end solution) ซึ่งทำครบทุกกระบวนการ ตั้งแต่วางกลยุทธ์ ออกแบบเทคโนโลยี บริหารจัดการโครงการ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI เลยทำให้ช่วยทรานส์ฟอร์ม สร้างการเปลี่ยนแปลง สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้จริง
นอกจากบริการที่ครบรอบด้านแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นคือบลูบิคเป็นคอนซัลต์ที่คิดแบบ Global คือมีมุมมองและคุณภาพบริการเทียบเคียงบริษัทระดับโลก แต่ก็เข้าใจบริบทการทำธุรกิจในประเทศและในภูมิภาค (Localization) เหมือนเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับธุรกิจจริงๆ
ไม่เพียงเท่านั้น การคิดนอกกรอบ ช่วยค้นหากลยุทธ์สร้างความแตกต่าง (Differentiation) เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงคุณค่าที่แตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นๆ ในตลาด ยังเป็นอีกจุดสำคัญที่ทำให้บลูบิคแตกต่างจากคอนซัลต์รายอื่นๆ เพราะเราช่วยออกแบบแผนกลยุทธ์ให้เหมาะกับองค์กรแต่ละแห่งโดยเฉพาะ
3. ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจในแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจคอนซัลต์เมื่อ 8 ปีที่แล้ว บลูบิคเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากความต้องการบริการที่ปรึกษาขององค์กรธุรกิจที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนออกมาจากผลประกอบการของบริษัทที่ปรับตัวขึ้นทุกปี…
- ปี 2561 รายได้ 132.76 ล้านบาท กำไรสุทธิ 19.22 ล้านบาท
- ปี 2562 รายได้ 184.94 ล้านบาท กำไรสุทธิ 31.71 ล้านบาท
- ปี 2563 รายได้ 200.53 ล้านบาท กำไรสุทธิ 44.29 ล้านบาท
- รายได้เติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา 22.9%
- กำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา 55.8%
โดยเมื่อปี 2563 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของ บลูบิค เมื่อปี 2563 เติบโตถึง 22.1% หากเทียบกับบริษัทในกลุ่มผู้ให้บริการที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการนวัตกรรมทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก นับว่าสูงกว่าอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย ซึ่งอยู่ที่ 14.21%
คำถามที่หลายคนน่าจะสงสัยคือแล้วลูกค้าของ บลูบิค เป็นกลุ่มไหนบ้าง?
ฐานลูกค้าของบลูบิคต่างเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ แบ่งเป็น
- กลุ่มธุรกิจประกัน คิดเป็น 40.1%
- กลุ่มธุรกิจธนาคารและบริการทางการเงิน คิดเป็น 26.5%
- กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ คิดเป็น 5.6%
โดยทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจนี้ต่างอยู่ในภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต
4. โมเดลธุรกิจที่ยังขยายตัวต่อไปได้อีกยาว ๆ
ไม่เพียงนำเสนอบริการทรานส์ฟอร์มธุรกิจอย่างครอบคลุมทุกด้านในปัจจุบัน บลูบิคยังขยายบริการใหม่ๆ เพื่อเข้าไปช่วยให้คำปรึกษาลูกค้าได้อย่างลงลึกและเฉพาะด้านยิ่งขึ้น โดยล่าสุดมีบริการด้านทรัพยากรบุคคลชั่วคราวที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที (IT Staff Augmentation) โดยทำหน้าที่จัดหาพนักงานที่เชี่ยวชาญด้านไอที อาทิ โปรแกรมเมอร์ และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อปฏิบัติงานตามกำหนดระยะเวลาจนจบโครงการ
ขณะเดียวกัน บลูบิค ยังมีแผนพัฒนา Digital Product เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานขององค์กรธุรกิจ โดยจะจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Research and Development Center) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อเป็นบริการทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าองค์กร ที่จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในอนาคต
นอกจากขยายบริการใหม่ๆ บลูบิค จะไม่หยุดอยู่แค่การเป็นบริษัทที่ปรึกษา แต่มุ่งมั่นจะเป็นพาร์ทเนอร์ที่ไว้ใจได้ของลูกค้า เพื่อช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับผู้บริหารระดับสูง การประสานงานกับทีมปฏิบัติงาน โดยผ่านการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อนำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาต่อยอดธุรกิจ เช่น การร่วมทุนระหว่าง บมจ. บลูบิค กรุ๊ป และ บมจ. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เพื่อจัดจัดตั้งบริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (Orbit) เพื่อยกระดับขีดความสามารถขององค์กรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สู่การเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับ OR ในอนาคต
5. มี Know-how ด้านดิจิทัล พร้อมรับมือทุกกระแสความเปลี่ยนแปลง
บลูบิค มีทรัพยากรสำคัญเป็นบุคลากรคุณภาพที่มี know-how ด้านดิจิทัลรอบด้าน ซึ่งมีประสบการณ์และความรู้ความเชี่ยวชาญจากการทำงานในหลายภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่ระดับ Top Management ไปจนถึง Working team ซึ่งทำให้นอกจากให้บริการลูกค้าได้อย่างครอบคลุมแล้ว ยังพร้อมปรับตัวรับมือความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ดีด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น บลูบิค ยังมีกลยุทธ์สรรหาและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์กร และยังมีนโยบายพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจัดเทรนนิ่ง คอร์ส ภายในบริษัท เพื่อพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน (Hard skills) และทักษะที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสามารถเชิงเทคนิค (Soft skills) รวมถึงช่วยสนับสนุนหากพนักงานต้องการไปเข้าฝึกอบรมกับหน่วยงานภายนอก หรือไปทดสอบความรู้เพื่อให้ได้รับใบรับรองความสามารถเชิงเทคนิค เช่น AWS Certificate ของ Amazon Web Services
*ผู้สนใจหุ้น BBIK สามารถร่วมรับฟังการนำเสนอข้อมูลการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) โดยทีมผู้บริหารของ BBIK
**หมายเหตุ บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาให้ซื้อหรือขายหุ้นนี้
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนการตัดสินใจลงทุน