Meet the Team

DE มีดีมากกว่าดูดี! ชวนรู้จัก Design & Experience หน่วยธุรกิจใหม่ของ Bluebik 

งานดีไซน์และการออกแบบประสบการณ์นั้นลงลึกและแตกแขนงออกเป็นหลากหลายมิติ วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักงานสายนี้ให้มากขึ้น ผ่านมุมมองของทีมงานมากฝีมือประจำหน่วยธุรกิจใหม่ของ Bluebik อย่าง Design & Experience (DE) 

14 กุมภาพันธ์ 2568

By Bluebik

4 Mins Read

เวลาพูดถึงงานดีไซน์และการออกแบบประสบการณ์ หลายคนอาจนึกถึงการออกแบบหน้าตาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันให้สวยงามเท่านั้น แต่อันที่จริง งานดีไซน์และการออกแบบประสบการณ์นั้นลงลึกและแตกแขนงออกเป็นหลากหลายมิติไกลเกินแค่ความดูดีไปมากนัก วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักงานสายนี้ให้มากขึ้น ผ่านมุมมองของทีมงานมากฝีมือประจำหน่วยธุรกิจใหม่ของ Bluebik อย่าง Design & Experience (DE) 

ก่อนจะเข้าเรื่อง เราขอเล่าเท้าความซักนิด เดิมที Bluebik เองก็มีทีมสายดีไซน์อยู่ภายใต้ชื่อ Experience Design (XD) ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังงานดีไซน์และการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้งานให้กับดิจิทัลโซลูชันที่เราพัฒนาให้ลูกค้าคนสำคัญมากมาย โดยทีม XD เป็นส่วนหนึ่งของทีม Digital Excellence & Delivery (DX)  

แต่ปีใหม่นี้ Bluebik จะติดอาวุธลับ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้ดีมากกว่าที่เคย ผ่าน “การออกแบบ (Design)” จึงได้ชวนพี่เอิร์ธ—สรณัญช์ ชูฉัตร มือฉมังด้านงานออกแบบประสบการณ การันตีด้วย Red Dot Design Award ปี 2012 และ 2020 มา มาเปิดบ้านใหม่ ภายใต้ชื่อ Design & Experience (DE) ที่พร้อมช่วยองค์กรธุรกิจสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ยิ่งใหญ่กว่าที่เคย รับจบทุกความต้องการด้านงานดีไซน์และการออกแบบประสบการณ์ของลูกค้าใน 3 หมวดหมู่หลัก ได้แก่  

1. การออกแบบ UX/UI (UX/UI Design) 

2. การออกแบบประสบการณ์ (Experience Design Services) 

และ 3. แคมเปญการตลาดและการสร้างแบรนด์ (Comprehensive Branding and Marketing Campaigns) 

ว่าแล้วก็ตามมาทำความรู้จัก DE ให้ดีขึ้นผ่าน พี่เอิร์ธ สรณัญช์ Chief Experience Officer (CXO) รวมทั้งตัวแทนทีมงานอย่าง ปาล์ม มกรณ์, Project Management Lead & Associate Director, เอิร์ท วิชญ์พล, Lead Designer และ แจม อัจจิมา, Project Management Consultant ไปด้วยกัน!  

DE 01

ประสบการณ์” คืออาวุธลับขององค์กรธุรกิจ 

ในโลกปัจจุบันที่การทำธุรกิจดุเดือดเชือดเฉือนกันขึ้นทุกวัน หากจะมีสิ่งใดที่ช่วยสร้างความแตกต่างและเพิ่มแต้มต่อให้กับธุรกิจได้ พี่เอิร์ธ CXO ยืนยันว่าสิ่งนั้นคือ “ประสบการณ์” 

“ประสบการณ์คืออาวุธลับขององค์กรธุรกิจ เมื่อก่อนบริษัทต่างๆ อาจเป็น Product-driven เช่น ‘ฉันทำน้ำปลาเป็น งั้นฉันก็ทำน้ำปลาขาย’ แต่โลกทุกวันนี้ลงทุนกับประสบการณ์มากขึ้น จากเดิมที่การออกแบบเป็นเชิง Functional จะทำน้ำปลาก็ใส่ปลา ใส่เกลือ ใส่ขวด ติดฉลาก ขาย แต่พอเอาประสบการณ์เข้ามาจับ การทำน้ำปลาจะมีหลากหลายมิติเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ต้องเลี้ยงปลาเอง มีสตอรี่ของการเลี้ยงปลา หรืออาจทำ Mobile Application ให้ลูกค้าปรุงรสชาติน้ำปลาแบบที่ชอบก็ได้ บางคนอาจชอบน้ำปลาติดหวาน บางคนอาจอยากได้น้ำปลาสำหรับทำปลาทอดน้ำปลาโดยเฉพาะ  

“ถ้าทำแบบเดิม อาจขายน้ำปลาได้ขวดละ 15 บาท แต่พอมีประสบการณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง คนอาจยอมจ่ายขวดละ 50 บาท เพื่อน้ำปลาที่ปรุงได้แบบตามใจฉัน จะเห็นว่าประสบการณ์มันลงลึกไปมากกว่าแค่น้ำปลา 1 ขวด ประสบการณ์คือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าไม่ไปเลือกคู่แข่ง นี่คืออาวุธเด็ดที่สุดแล้ว ต่อให้สินค้าหรือบริการของเราราคาสูงกว่า ลูกค้าก็เลือกเราเพราะชอบประสบการณ์ที่เรามอบให้ แม้ประสบการณ์จะถือเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ หรือเรียกว่า Intangible Asset แต่เห็นชัดเจนเลยว่ามันมีคุณค่ามาก” 

ที่เล่ามาเป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น พี่เอิร์ธบอกว่า องค์กรธุรกิจสามารถนำประสบการณ์ไปต่อยอดได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะสร้างความประทับใจแรก เสริมสร้างแบรนดิ้ง รับฟังฟีดแบ็กลูกค้า หรือแก้ไข Pain Point ของทีมงาน เรียกได้ว่าความเป็นไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด 

ในโลกยุค AI ครองเมือง “ประสบการณ์” ยิ่งทวีความสำคัญ 

เดิมที “ประสบการณ์” ก็มีความสำคัญมากอยู่แล้วในโลกดิจิทัลที่ผู้คนใช้งานแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ต่างๆ กันเป็นประจำทุกวัน แน่นอนว่าหัวใจสำคัญของโซลูชันดิจิทัลเหล่านี้คือ Function ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน แต่หากโซลูชันดิจิทัลเหล่านั้นไม่มีความสวยงาม ใช้งานยาก ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน Function เหล่านั้นก็คงไม่ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ 

“สมมติเราเป็นองค์กรที่ลงทุนพัฒนาแอปพลิเคชันขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แม้ว่า Source Code จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แอปฯ ใช้งานได้ แต่มันรันอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่ผู้ใช้งานจะเห็นเป็นอย่างแรกคือหน้าตาของแอปฯ ดังนั้นการลงทุนกับงานดีไซน์และการออกแบบประสบการณ์จึงสำคัญพอๆ กับฟังก์ชั่นการใช้งานเบื้องหลังแอปฯ เพราะมันช่วยสร้างความประทับใจ ทำให้ผู้ใช้งานอยากใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ในแอปฯ นั้นจริงๆ สมมติเปรียบเทียบเป็นร้านอาหาร ก็คือร้านอาหารที่ตกแต่งสวยงาม เดินเข้าไปแล้วอยากหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป อาหารที่เสิร์ฟก็จัดจานมาอย่างดี พอกินแล้วก็อร่อยด้วย ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ทั้งนั้น 

“ยิ่งในยุคที่ AI อยู่ทุกหนทุกแห่ง พูดคำว่า AI ออกไป คนมองไม่เห็นภาพว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร เพราะมันทำงานอยู่เบื้องหลังหมดเลย ดังนั้นหน้าที่ของทีม DE คือการทำอย่างไรให้คนสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้ มันคือการเอางานดีไซน์มาแปลภาษา AI ให้คนทั่วไปจับต้องได้ และสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาด้วย ซึ่งตรงนี้แหละจะทำให้องค์กรธุรกิจสร้างความแตกต่างให้กับตัวเองได้” 

DE 02

รับจบทุกเรื่อง Design & Experience  

การจะจำกัดความว่าทีม DE นำเสนอบริการอะไรบ้างนั้นเป็นเรื่องยากใช่เล่น เพราะแก๊งนี้เขา “รับจบ” ทุกเรื่อง เพราะงานดีไซน์และการออกแบบประสบการณ์นั้นแทรกซึมอยู่ในทุกก้าวของ Customer Journey  

เอิร์ท Lead Designer ประจำทีม DE บอกว่า ลูกค้าสามารถถือโจทย์มาหลวมๆ ได้เลย ที่เหลือ เดี๋ยวพวกเราจัดการให้เอง  

“เคยมีเคสที่ลูกค้าบอกมาแค่ว่าอยากเปิดร้านอาหารที่ต่างประเทศ เราก็ไปหาข้อมูลแล้วคิดให้หมดเลยตั้งแต่คอนเซปต์ เมนูอาหาร ไปจนถึงออกแบบ Workflow ทั้งแบบดิจิทัลและฟิสิคัล 

“อันที่จริง ต่อให้ไม่มีไอเดียอะไรก็มาหาเราได้ สมมติแค่รู้สึกว่ากำลังนิ่งๆ อยู่ อยากจะทำอะไรสักอย่าง เราก็สามารถช่วยคิดให้ได้ว่าโค้งต่อไปของลูกค้าควรเป็นอย่างไร ควร Transform หรือทำแบบเดิมแต่ปรับนิดหน่อย เรามองว่าเราอยู่ในทุกช่วงชีวิตของลูกค้าเลย” 

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นว่างานดีไซน์และออกแบบประสบการณ์มีความเจ๋งอย่างไรบ้าง เราขอหยิบยกเคสสนุกๆ ที่โชว์ความสามารถระดับรับจบได้ทุกเรื่องของทีมนี้มาเล่าให้ทุกคนฟังกัน 

1. เปลี่ยนร้านสะดวกซักแค่ในนามให้เป็นร้านที่ซักสะดวกจริงๆ 

Service: Design & UX/UI Design 

สำหรับเคสนี้ ร้านสะดวกซักซึ่งมีหลากหลายสาขาในประเทศไทย มาพร้อม Pain Point ที่ว่า ตอนนี้ร้านของเขายังไม่อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้จริงๆ สมชื่อ เพราะแม้รูปแบบธุรกิจจะเป็น Self-service แต่ผู้ใช้งานหลายคนไม่มีเวลาเข้าไปซักอบพับด้วยตัวเอง 

“คนทั่วไปไปทำงาน 8:00 น. เลิกงานมารถติดกว่าจะถึงบ้านก็ 18:30 น. แต่ว่าผ้ากองเต็มไปหมดเลย ไม่มีเวลาไปซัก กว่าจะซักได้คือเสาร์-อาทิตย์ แล้วเราจะทำอย่างไรให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่า ร้านนี้สะดวกน่าใช้งาน” แจม อัจจิมา, Project Management Consultant เล่าที่มาที่ไป “อินไซต์ที่เราค้นพบคือผู้ใช้งานหลายคนอยากให้มีบริการซักอบพับ เขาแค่แวะเอาผ้าไปส่งก่อนไปทำงาน พอเลิกงานก็แวะรับผ้า กลับถึงบ้านมีเสื้อผ้าสะอาดพร้อมสวมใส่”  

เอิร์ท Lead Designer ช่วยเล่าเสริมว่า “เราเลยเข้าไปช่วยจัดระบบใหม่ เช่น การจัดระบบ Traffic Control สมมติเวลาผู้ใช้งานเข้ามาส่งผ้ากันเยอะๆ แล้วพนักงานทำไม่ทัน เครื่องไม่พอ ต้องทำอย่างไรให้ผู้ใช้งานได้รับการบริการที่ดี และในขณะเดียวกันพนักงานก็ไม่ทำงานหนักเกินไป ให้เขาแฮปปี้และมอบบริการที่ดีให้กับผู้ใช้งานด้วย งั้นเราทำเป็นระบบจองคิวแล้วกัน ให้ผู้ใช้งานเช็กในแอปฯ​ ได้เลยตั้งแต่ยังไม่ออกจากบ้านว่าสาขาไหนมีคิวว่าง ถ้าไม่ว่างจะได้ไม่ต้องออกจากบ้าน เขาไม่ต้องเสียเวลา ไม่เสียค่าน้ำมัน ไม่สร้างมลพิษเพิ่มให้กับโลก ด้านพนักงานก็ทำงานได้ดี ไม่ต้องรีบ ดูแลผ้าให้แห้งสนิทได้” 

ระบบจัดการคิวที่เล่ามาเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ที่จริงแล้วทีมนี้เข้าไปช่วยยกเครื่องประสบการณ์ให้ใหม่วิ๊งวับทั้งหมด ตั้งแต่จัดแปลนร้านใหม่ ออกแบบการบริการ เช่น การซื้อถุงใส่ผ้าหรือเลือกกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม ออกแบบแอปพลิเคชัน ไปจนถึงออกแบบ Workflow ให้กับพนักงานหน้าร้าน ซึ่งละเอียดถึงขั้นการออกแบบฝาสำหรับตวงน้ำยาซักผ้าเลยทีเดียว เพราะแค่น้ำยาซักผ้าก็สามารถส่งผลกระทบเป็นห่วงโซ่ต่อไปในหลากหลายมิติ  ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการบริการหรือการจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย จะเห็นว่าพวกเรารับจบทุกเรื่องและห่วงใยทั้งองค์กร ทั้งโลกเลยทีเดียว 

และแน่นอนว่าสุดท้ายการออกแบบประสบการณ์ก็สามารถช่วยให้ร้านสะดวกซักเจ้านี้เป็นสถานที่ที่ซักสะดวกจริงๆ สมชื่อ!   

2. คนยุคใหม่ไม่อยากได้ Rolex งั้นเอา Tinder Gold ไปปัดให้ฉ่ำ 

Service: Branding & Marketing Campaign 

ลูกค้า Telco รายนี้มาพร้อม Pain Point ที่ว่า แบรนดิ้งเดิมค่อนข้างเข้าถึงยาก แต่อยากเข้าหาคนรุ่นใหม่มากขึ้น “โจทย์ของเราคือการสร้างประสบการณ์ที่จะช่วยดึงดูดลูกค้า New Gen เข้ามา” แจม อัจจิมา, Project Management Consultant เล่า 

“แต่หลังจากลองคิดดู พวกเราก็ตัดสินใจว่า แทนที่จะทำแคมเปญสำหรับ New Gen เราทำแคมเปญสำหรับคนทุก Gen เลยดีกว่า เพราะเราไม่อยากให้ทิ้งกลุ่มผู้ใช้งานเดิมเพื่อไป Acquire กลุ่มใหม่”  เอิร์ท Lead Designer รับไม้เล่าต่อ “เราก็เลยทำเป็นแคมเปญแจกรางวัลสำหรับคน 3 Gen ซึ่งของรางวัลก็แตกต่างกัน เช่น ของรางวัลสำหรับรุ่นพ่อแม่ก็อาจจะเป็นนาฬิกาข้อมือแพงๆ ซักเรือน เช่น Rolex ส่วนของรางวัลสำหรับคนรุ่นใหม่ เขาอาจไม่ได้อยากได้ Rolex งั้นให้ Tinder Gold ดีกว่า ซึ่งแคมเปญนี้ต้องขอบคุณลูกค้าที่ยอมลุยไปกับเรา เพราะเขาต้องประสานงานพาร์ตเนอร์ต่างๆ เยอะขึ้น แต่ผลตอบรับดีเลย เพราะมีการเข้าร่วมกิจกรรมและแลกของรางวัลเยอะมาก” 

ไม่จบแค่ออกแบบกิจกรรม เพราะทีมนี้ยังดูแลแคมเปญการสื่อสารของกิจกรรมนี้ให้กับลูกค้าด้วย ซึ่งไม่เพียงทำ 3 แคมเปญโฆษณาแยกกันเพื่อเจาะคนแต่ละ Gen แต่ยังฉีกกฎการใส่รายละเอียดยุบยับในโฆษณาอีกด้วย  

“ปกติในโฆษณาที่มีข้อมูลเพิ่มเติม เขามักใส่เป็นตัวเล็กๆ เต็มไปด้วยตัวเลข ซึ่งผู้ใช้งานจะงง ปิดเลย ไม่อ่าน ทั้งที่จริงๆ มันมีคนที่เขาสนใจจริงๆ อยู่ แล้วทำไมเราไม่ช่วยให้เขาอ่านได้ล่ะ” ปาล์ม มกรณ์, Project Management Lead & Associate Director เล่า “เราก็เลยทำเป็นโฆษณาที่มีข้อมูลใหญ่ๆ อ่านได้ชัดเจนไปเลย และพอดีช่วงทำแคมเปญเป็นช่วงที่ Generative AI กำลังมา เราเลยเอามาใช้เป็นตัวช่วยพัฒนาประสบการณ์  กลายเป็นว่าได้รับ Feedback ที่ดีมาก คนสนใจเพราะมันสวยและอ่านรู้เรื่อง ทำให้ Click-through-rate เพิ่มขึ้น 3-4 เท่า ฝั่งลูกค้าเอง ก็ได้งานเร็วขึ้น ได้งานหลาย option ให้เลือก และจ่ายถูกลง “Faster, Better, Cheaper” นั่นเอง” 

เห็นไหมว่า ทีมนี้เขารับจบได้ทุกเรื่องจริงๆ ขอแค่อยากสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้งาน เราก็พร้อมสร้างสรรค์ให้ได้ครบจบทุกมิติเลย 

DE 03

DE มีดีมากกว่าดูดี 

เล่ามาถึงตรงนี้ ทุกคนน่าจะเห็นภาพแล้วว่างานดีไซน์และการออกแบบประสบการณ์นั้นมีดีมากกว่าแค่ความดูดีมากนัก เพราะทั้งสองสิ่งนี้แทรกซึมอยู่ในทุกมิติของ Customer Journey หากใส่ใจทั้งงานดีไซน์และประสบการณ์ ก็จะช่วยให้ลูกค้าเอ็นจอยการใช้งานสินค้าและบริการของเราได้มากขึ้น ตลอดจนพนักงานเองก็มีความสุขและทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพอีกด้วย 

ที่สำคัญ ทีม DE ทำงานกันอย่างเป็นระบบและมีหลักการ โดยในทุกโจทย์การทำงานจะมีการทำ User Validation เพื่อยืนยันว่าโซลูชันที่เราคิดให้นั้นได้ผลจริงๆ “เราคือนักออกแบบสายวิทย์ งานออกแบบของเราต้องผ่านการทดสอบเสมอ เพราะเราทำงานกันในทีมพวกเรา ทำงานกับลูกค้า คุยกับผู้ใช้งาน แม้เราและลูกค้าจะมีประสบการณ์และองค์ความรู้ รวมถึงได้ Insight จากผู้ใช้งานมา แต่พวกเราจำนวนเท่านี้ก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนคนเป็นล้านได้ ดังนั้นเราให้ความสำคัญกับกระบวนการ User Validation มากๆ” ปาล์ม มกรณ์, Project Management Lead & Associate Director อธิบาย  

พี่เอิร์ธ CXO ช่วยยกตัวอย่างต่อ “การทำงานดีไซน์และประสบการณ์ทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ทำเสร็จแล้วส่งไปให้เจ้านายเลือกอีกต่อไป แต่ต้องทดสอบแล้วทดสอบอีก สมมติทำปั๊มน้ำมัน ก็ทำ Mock Up ขึ้นมาเลย 1 สาขา แล้วลองรันเลย เอาลูกค้าเข้ามาทดลองใช้ เอา Influencer มาพูดคุยขอความคิดเห็น ขอ Feedback จากพนักงาน แก้กัน 2-3 รอบจนจะโอเคจริงๆ ในแง่การลงทุน สมมติโปรเจกต์นี้มีมูลค่า 100 ล้าน เราลงทุน 1 ล้าน มันคือ 1% เพื่อทดสอบและยืนยันว่าทุกอย่างมันเวิร์กจริงๆ” 

เช่นนี้เองทุกงานที่ทีมนี้ส่งออกไปจึงมั่นได้ว่าแก้ไข Pain Point ได้จริง​ และเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือพนักงานในองค์กรก็ตาม 

DE ที่ดีในแบบฉบับของ Bluebik 

งานดีไซน์และการออกแบบประสบการณ์นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว Bluebik จึงยึดหลักการว่า เราไม่เคยทำงานซ้ำเดิมให้กับลูกค้าไม่ว่ารายไหน “เราไม่เคยขายงานแบบ Template ให้กับลูกค้า” พี่เอิร์ธ CXO ยืนยัน “เราเข้าใจนะว่ามันจะลดค่าใช้จ่ายและลดเวลา แต่เรามองตัวเองเป็นช่างตัดสูทมากกว่า เราชอบคุยกับลูกค้าก่อนว่า พี่เอาสูทนี้ใส่ไปงานไหนเหรอครับ นั่งห้องแอร์หรือเดินข้างนอก พี่ยกแขนหน่อยขอวัดไหล่หน่อยครับ เราคราฟต์งานให้กับลูกค้าแต่ละรายโดยเฉพาะจริงๆ” 

DE 04 CXO

นอกจากนี้ ทีม DE ยังขึ้นชื่อเรื่องการทำงานฉึบฉับว่องไว ลืมการประชุม Feedback วันนี้แล้วรอแก้งานกลับมาอีกทีสัปดาห์หน้าได้เลย เพราะทีม DE เขาจะแก้ให้ดูกันสดๆ ในห้องประชุมนั่นแหละ “นี่คือมาตรฐานการทำงานที่เป็นซิกเนเจอร์ของเรา เรามีเครื่องมือมากมายที่จะมาช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพทันที ไม่ว่าจะเป็น Live-Design, Hi-Fi mockup, Visioning Workshop ซึ่งลูกค้าก็ประทับใจมาก คือเราไม่ใช่นักออกแบบที่คุยยาก ติสท์แตก แต่เราอยากเป็นนักออกแบบที่อยากเป็นอาวุธที่คมมากๆ ในการแก้ไขปัญหาหรือสร้างสรรค์จินตนาการใหม่ๆ ให้ลูกค้า” 

ที่สำคัญ อย่างที่บอกว่าประสบการณ์นั้นสอดแทรกอยู่ในทุกก้าวของ Customer Journey เมื่อเราผนวกความสามารถของหน่วยธุรกิจใหม่อย่าง DE เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของหน่วยธุรกิจอื่นๆ ที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Cybersecurity & Digital Trust, Big Data & Artificial Intelligence หรือ SAP ERP Advisory & Implementation ศักยภาพในการส่งมอบดิจิทัลโซลูชันของ Bluebik จึงทรงพลังยิ่งกว่าที่เคย พร้อมเป็นอาวุธลับทางธุรกิจที่จะช่วยสร้างอิมแพกต์ให้กับลูกค้าอย่างยั่งยืน 

D แบบไหนที่ใช่ทีม DE 

ก่อนจากกัน เราขอให้แต่ละคนช่วยเลือก 1 คำที่จำกัดความปรัชญาการทำงานของทีม DE ได้ความว่า 

D – Deep ลงลึกสุดใจแบบพี่เอิร์ธ CXO 

“สำหรับพี่เป็นคำว่า Deep ลงลึกสุดใจ หนึ่งคือ เวลาเราทำงาน เรามักจะทำงานที่เราอยากรู้ ทุ่มเท และใส่สุดกับมัน สองคือ งานดีไซน์มันไม่ใช่แค่ผิวๆ แต่ต้องลงลึกทุกรายละเอียดและมองให้ครบทุกมิติ” 

D – Dazzling ทุกงานต้องเจิดจรัสแบบ ปาล์ม มกรณ์, Project Management Lead & Associate Director  

​“ของผมขอเป็นคำว่า Dazzling หรือเจิดจรัสแล้วกันครับ เพราะพอเราได้ข้อมูลงลึกสุดใจมาแล้ว เราจะทำอย่างไรให้งานของเรามันว้าว แตกต่าง สวยงามน่าใช้ และแน่นอนว่าต้องสื่อสารกับผู้ใช้งานได้ด้วย” 

D – Direction ทุกคนในทีมต้องใช้เข็มทิศอันเดียวกันแบบ เอิร์ท วิชญ์พล, Lead Designer 

“ผมเลือกคำว่า Direction เพราะ Direction ต้องชัดเพื่อที่ทุกคนในทีมจะสามารถ Deliver งานที่มีคุณภาพและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนงานนั้นออกมาจากคนคนเดียวกัน ไม่ว่า Direction นั้นจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เช่น เราต้องการสร้าง Impact ที่ดีต่อสังคม” 

D – Diverse ใช้ความหลากหลายแก้ไขปัญหาหลายหลากแบบแจม อัจจิมา, Project Management Consultant 

“สำหรับเราเป็นคำว่า Diverse เพราะในทีมเรามีคนหลากหลาย เราจึงสามารถใช้จุดเด่นนี้มาทำงานในหลากมิติ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่หลากหลายสำหรับลูกค้าและผู้ใช้งาน” 

และนี่คือการทำงานที่ดีตามสไตล์ทีม Design & Experience ของ Bluebik ถ้าใครสนใจอยากมาร่วมทีมเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูกค้าและผู้ใช้งาน ลองเข้าไปดูตำแหน่งงานที่เปิดรับได้ที่ https://bit.ly/careersatBBIK  

14 กุมภาพันธ์ 2568

By Bluebik