
ในยุคที่ทุกองค์กรเร่งเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ความเร็วในการปรับตัวอาจเป็นข้อได้เปรียบ แต่เมื่อเวลาผ่านไป “ความน่าเชื่อถือ” จะเป็นตัวตัดสินความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว ดังนั้น การสร้างระบบบริหารจัดการด้านดิจิทัลที่มั่นคง โปร่งใส และมีมาตรฐานจึงเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรยุคใหม่ — และทั้งหมดนี้คือบทบาทของ GRC Framework (Governance, Risk, and Compliance) ที่ช่วยองค์กรกำหนดทิศทาง ควบคุมความเสี่ยง และปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้าง “Trust” ให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
GRC คืออะไร และมีบทบาทอย่างไรในโลกธุรกิจ
GRC (Governance, Risk, and Compliance) คือ กรอบแนวคิดที่ครอบคลุมการบริหารจัดการองค์กรใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การกำกับดูแล (Governance) การบริหารความเสี่ยง (Risk) และการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance) ซึ่งทั้งสามองค์ประกอบนี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพการดำเนินงานให้กับองค์กรในระยะยาว

Governance (การกำกับดูแล) คือกระบวนการกำหนดทิศทางและนโยบายการดำเนินงานขององค์กร การบริหารจัดการที่ดีจะช่วยให้องค์กรดำเนินไปในทิศทางเดียวกันกับเป้าหมายทางธุรกิจ โดย Governance ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย กลยุทธ์ การจัดสรรทรัพยากร รวมถึงการกำหนดบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้นำและพนักงานทุกระดับ
บทบาทของ Governance ในองค์กร:
- การวางกรอบกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร
- การกำหนดนโยบายและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามมาตรฐาน
- การส่งเสริมความโปร่งใสในการตัดสินใจและการบริหารจัดการทรัพยากร
Risk Management (การบริหารจัดการความเสี่ยง) คือกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน ความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ รวมถึงความเสี่ยงทางกฎหมาย องค์กรที่มีการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถลดความเสี่ยงและความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจได้
บทบาทของ Risk Management ในองค์กร:
- ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน เช่น ความเสี่ยงด้านข้อมูล และกฎระเบียบ
- ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงและหาวิธีลดความเสี่ยง
- ติดตามความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
Compliance (การปฏิบัติตามข้อบังคับ) คือการที่องค์กรดำเนินกิจกรรมและกระบวนการต่าง ๆ ภายใต้กฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดภายในองค์กรหรือข้อกำหนดทางกฎหมาย เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) หรือมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (ISO/IEC 27001) เป็นต้น การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้อาจนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายหรือส่งผลเสียต่อชื่อเสียงขององค์กร
บทบาทของ Compliance ในองค์กร:
- ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
- สร้างกระบวนการและมาตรการเพื่อให้พนักงานทุกคนปฏิบัติตามข้อกำหนด
- ตรวจสอบและประเมินการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างสม่ำเสมอ
GRC กับการบริหารความเสี่ยงทางไซเบอร์
ในยุคดิจิทัล ความเสี่ยงทางไซเบอร์กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ธุรกิจต้องเผชิญ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงานทำให้ข้อมูลและระบบขององค์กรมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการโจมตีทางไซเบอร์ การรั่วไหลของข้อมูล และการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย การบริหารจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์จึงมีความสำคัญในการปกป้องทรัพย์สินทางข้อมูลและลดผลกระทบต่อองค์กร
GRC จึงเป็นกรอบการดำเนินการที่สำคัญ ในการจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์ ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนมากขึ้นในยุคดิจิทัล ดังนี้

- กำหนดนโยบายและมาตรการป้องกันทางไซเบอร์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสร้างนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Policy) ที่ชัดเจน กำหนดขั้นตอนในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น การใช้มาตรฐาน ISO/IEC 27001 ในการจัดการด้านความปลอดภัยของข้อมูล หรือดำเนินการตรวจสอบระบบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ
- ประเมินความเสี่ยง: การระบุ คาดการณ์ และลดความเสี่ยงทางไซเบอร์บนระบบขององค์กร โดยกำหนดให้มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงเป็นประจำ เพื่อตรวจสอบความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้น การบริหารความเสี่ยงทางไซเบอร์สามารถลดโอกาสที่จะเกิดการโจมตีหรือรั่วไหลของข้อมูลได้
- การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น PDPA หรือ ISO/IEC 27001 เป็นปัจจัยที่ GRC ให้ความสำคัญ การปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้จะช่วยป้องกันการเสียค่าปรับหรือบทลงโทษทางกฎหมาย และสร้างความไว้วางใจในองค์กร รวมถึงช่วยให้ธุรกิจรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลลูกค้าและคู่ค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งสำคัญที่สุดในการจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์ คือการตรวจสอบและปรับปรุงนโยบาย มาตรการ และระบบอย่างสม่ำเสมอ ความเสี่ยงทางไซเบอร์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้องค์กรต้องมีการประเมินความเสี่ยงและปรับตัวต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่ง GRC จะช่วยให้กระบวนการตรวจสอบเป็นไปอย่างเป็นระบบ ทำให้องค์กรสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ และปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที
ประโยชน์ของ GRC ต่อประสิทธิภาพขององค์กร
การนำ GRC มาใช้ในองค์กรส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ เป็นระบบ มีมาตรฐาน และโปร่งใส ลดความซับซ้อนและความซ้ำซ้อนของงานที่อาจเกิดขึ้นในองค์กร รวมถึงลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงขององค์กรในระยะยาว
- การลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น: การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรสามารถประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจ อาทิ ความเสี่ยงด้านการเงิน ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล หรือความเสี่ยงทางกฎหมาย เป็นต้น การประเมินและติดตามความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอช่วยให้องค์กรสามารถป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนที่จะส่งผลกระทบ ซึ่งส่งผลให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสียหายที่อาจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
- การทำงานอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน: การมีโครงสร้างการกำกับดูแลที่ชัดเจน ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินงานตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างมีระบบและต่อเนื่อง ทุกคนในองค์กรจะมีบทบาทและหน้าที่ที่ชัดเจน ซึ่งช่วยให้การทำงานเป็นไปตามกระบวนการที่กำหนดและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากความไม่ชัดเจนหรือความเข้าใจผิด
- การลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการทำงาน: การบริหารจัดการที่มีระบบ ช่วยให้องค์กรสามารถลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการทำงานต่าง ๆ โดยการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนในทุกระดับขององค์กร ทำให้แต่ละฝ่ายเข้าใจถึงหน้าที่และกระบวนการทำงานที่ต้องรับผิดชอบ ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนระหว่างทีม และส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
- การลดค่าใช้จ่ายจากการป้องกันความเสียหายและลดความเสี่ยง: การไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือความเสี่ยงทางธุรกิจอาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก การป้องกันความเสี่ยงในระยะยาวจึงช่วยลดโอกาสของเหตุการณ์กระทบธุรกิจ เช่น การถูกโจมตีทางไซเบอร์หรือการรั่วไหลของข้อมูล ที่นำไปสู่ค่าใช้จ่ายมหาศาลจากการแก้ไขปัญหา เป็นต้น
ทำไมองค์กรถึงควรทบทวน GRC ทุกปี

การทบทวน GRC ในองค์กรทุกปีเป็นพันธกิจสำคัญ เพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดรับกับสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่
- การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบและกฎหมาย: มีการบังคับใช้กฎระเบียบหรือกฎหมายใหม่ ๆ เกี่ยวกับการกำกับดูแลหรือความปลอดภัยของข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ อาทิ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่องค์กรต้องปฏิบัติตาม การทบทวน GRC จะช่วยให้องค์กรมั่นใจว่ามีการปรับตัวและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน
- การพัฒนาของเทคโนโลยี: ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีมักมาพร้อมความเสี่ยงใหม่ ๆ เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ที่มีรูปแบบซับซ้อนขึ้น ดังนั้น การทบทวน GRC จะช่วยประเมินว่าองค์กรมีมาตรการเพียงพอในการจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้หรือไม่
- การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจและกลยุทธ์: องค์กรที่เติบโตหรือขยายตัวด้วยการเพิ่มหน่วยธุรกิจใหม่ ๆ การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ หรือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ อาจเพิ่มความเสี่ยงใหม่ ด้วยเหตุนี้ การทบทวนแผน GRC จะช่วยให้องค์กรสามารถกำกับดูแลและจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
- การประเมินและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายใน: การทบทวนประจำปีช่วยให้ธุรกิจเห็นจุดที่ควรปรับปรุงหรือพัฒนาในกระบวนการ GRC ที่มีอยู่ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการยกระดับการกำกับดูแลและการจัดการความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- การสร้างความมั่นใจให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: การทบทวนและปรับปรุง GRC อย่างสม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบและความใส่ใจขององค์กร ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น พนักงาน ลูกค้า และคู่ค้า ว่าองค์กรมีการจัดการความเสี่ยงและปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
บทบาท GRC ในยุคดิจิทัล
บทบาทของ GRC ยังคงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาปรับใช้ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง นอกจากนี้ การพัฒนาเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ทันสมัยยังช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงและปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
องค์กรธุรกิจจะมีการบูรณาการ GRC เข้ากับการทำงานในทุกระดับขององค์กร จากที่เคยเป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงหรือทีมเฉพาะทาง จะขยายสู่ระดับปฏิบัติการ โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลความเสี่ยงและปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การสร้างระบบ GRC ที่ครอบคลุมทุกระดับ จะช่วยกำหนดขอบเขต หน้าที่ความรับผิดชอบ และความโปร่งใสในองค์กรมากขึ้น ทุกคนสามารถเข้าใจถึงบทบาทของตนเองในการป้องกันและจัดการความเสี่ยง ตลอดจนปฏิบัติตามกฎระเบียบ ทำให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการเกิดข้อผิดพลาด และเสริมสร้างความมั่นคงให้กับองค์กร
จาก Compliance สู่ Confidence
ในโลกที่ความเสี่ยงเกิดขึ้นทุกวินาที “ความเชื่อมั่น” คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร
GRC ไม่ได้เป็นเพียงกรอบการบริหาร แต่คือระบบที่หล่อหลอม “วัฒนธรรมของความรับผิดชอบ” และ “โครงสร้างของความไว้วางใจ” ให้เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กร
องค์กรที่ลงทุนใน GRC อย่างจริงจัง ไม่ได้แค่ลดความเสี่ยง แต่กำลังสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนกว่าเดิม — เพราะในยุคดิจิทัล “Trust is not a byproduct, it’s the strategy.”
ยกระดับความปลอดภัยไปกับ บลูบิค ไททันส์
ในยุคที่ความเสี่ยงทางไซเบอร์และข้อกำหนดด้านกฎหมายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “การบริหารความปลอดภัย” จึงไม่ใช่เรื่องของฝ่าย IT อีกต่อไป แต่กลายเป็น “ภารกิจระดับองค์กร” ที่เชื่อมโยงกับความเชื่อมั่นและความยั่งยืนของธุรกิจโดยตรง บลูบิค ไททันส์ มุ่งช่วยองค์กรสร้างระบบบริหาร GRC ที่แข็งแรง ครอบคลุม และสอดคล้องกับระดับความเสี่ยง โครงสร้างธุรกิจ และข้อกำหนดทางกฎหมาย เพื่อให้การบริหารด้านความปลอดภัยเกิดขึ้นอย่างมีมาตรฐาน โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกมิติ
การยกระดับความปลอดภัยในส่วนของ GRC ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับความเสี่ยงและข้อกำหนดขององค์กร สามารถทำได้หลายวิธีโดยใช้บริการหรือเครื่องมือของบริษัท ที่จะช่วยให้เกิดการจัดการที่มีประสิทธิภาพและลดโอกาสในการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ดังนี้:
- บริการที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยและ GRC: บริษัทสามารถให้บริการที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยและ GRC เพื่อช่วยวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงที่องค์กรอาจเผชิญ รวมถึงแนะนำการกำกับดูแลและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด การให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์นี้ช่วยให้มีการปรับปรุงกระบวนการที่สอดคล้องกับมาตรฐาน เช่น ISO/IEC 27001, NIST หรือ PDPA
- การประเมินความเสี่ยงและช่องโหว่ (Risk and Vulnerability Assessment): การให้บริการตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ เช่น การประเมินช่องโหว่ของระบบเครือข่ายหรือโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่สำคัญ ทำให้องค์กรสามารถเห็นจุดอ่อนและวางแผนการจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการทดสอบเจาะระบบ (Penetration Testing) เพื่อให้แน่ใจว่าระบบสามารถป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้
- การสร้างและปรับปรุงนโยบายด้านความปลอดภัย (Security Policy Development): บริษัทสามารถช่วยพัฒนาและจัดทำเอกสารนโยบายความปลอดภัยและกระบวนการ GRC ที่ทันสมัยและเข้มงวด เพื่อควบคุมและกำกับดูแลกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์กร โดยจะช่วยให้บุคลากรเข้าใจถึงมาตรฐานความปลอดภัยที่ต้องปฏิบัติ และสร้างความตระหนักถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่มีความสำคัญ
- บริการฝึกอบรมด้านการรักษาความปลอดภัยและการตระหนักรู้ (Security Awareness and Training): การให้บริการฝึกอบรมและจัดโปรแกรมการตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยแก่บุคลากรในองค์กร เช่น การสอนเรื่อง Social Engineering, Phishing หรือการปฏิบัติตามนโยบายด้านความปลอดภัย เป็นการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยภายในองค์กร ให้บุคลากรตระหนักถึงความเสี่ยงและแนวทางการป้องกันที่ควรทำ