การที่ใครสักคนหนึ่งจะทำงาน ณ องค์กรหนึ่งๆ ยาวนานร่วม 20 ปี ย่อมหมายถึงว่า พวกเขามีสิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญ และองค์กรเองก็เป็นพื้นที่สำหรับสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน และสองคนที่ได้มาแบ่งปันมุมมองกับเราในคราวนี้ คนแรก เขาทำงานที่ Bluebik Vulcan (นับตั้งแต่ตอนยังเป็นบริษัท MFEC ก่อนจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Bluebik Group) มาทั้งหมด 20 ปี ส่วนอีกคนหนึ่ง เธอทำงานที่นี่มายาวนานไม่แพ้กัน นั่นคือ 19 ปี และนี่ก็เป็นที่ทำงานที่แรกและเพียงที่เดียวของเธอ

คุณป้อม-รัฐพล คือ Deputy Head of Business Solution แห่งทีม Tech Solution Delivery จาก Bluebik Vulcan ซึ่งทำหน้าที่ดูแลทีม Business Analyst และ System Analyst (BA/SA) โดยตรง
คุณแจ้-สุภรณี คือ Project Consultant, Expert แห่งทีม Tech Solution Delivery เช่นเดียวกับคุณป้อม แต่คุณแจ้ทำหน้าที่สนับสนุนลูกค้าในฐานะ Financial PMO
ทั้งคู่ต่างเริ่มจากการเป็น Developer ก่อน และขยับเข้ามาสู่สายธุรกิจและเติบโตในสายงานบริหาร และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเขาต่างเคยมีประสบการณ์ในฐานะ BA/SA และได้ทำงานร่วมกับรุ่นน้อง BA/SA มาแล้วอย่างยาวนาน
เหตุที่ทั้งคู่ทำงานในองค์กรแห่งนี้นับ 2 ทศวรรษ เป็นเหตุผลข้อเดียวกัน นั่นคือ ‘ความสนุก’ และ ‘ความท้าทาย’ ภายในทุกๆ โปรเจกต์ที่ได้ทำ ซึ่งการเปลี่ยนจากโปรเจกต์ที่สำเร็จแล้วไปสู่อีกโปรเจกต์ที่กำลังเริ่มใหม่ สำหรับทั้งคู่ก็เหมือนการได้ ‘ลองทำอะไรใหม่ๆ’ เพราะทุกโปรเจกต์ล้วนแต่มีรสชาติที่ต่างไปจากเดิม และยิ่งประสบความสำเร็จในแต่ละโปรเจกต์มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งสนุกกับเส้นทางนี้มากเท่านั้น พร้อมๆ กับที่อยากท้าทายตัวเองกับสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ
โอกาสนี้เราจึงชวนทั้ง คุณป้อมและ คุณแจ้มาแชร์มุมมองว่าด้วย 3 กุญแจสำคัญที่ทำให้งาน BA/SA ประสบความสำเร็จ และเป็นสิ่งที่ทั้งคู่พยายามสร้างให้เกิดขึ้นในการทำงานอยู่เสมอ อันได้แก่ Trust (ความเชื่อมั่น) Ownership (ความเป็นเจ้าของ) และ Flexibility (ความยืดหยุ่น) รวมถึงการสร้าง Legacy ฝากไว้เป็นผลงานของตนหรือเป็นวิถีการทำงานที่สามารถส่งต่อให้คนทำงานรุ่นถัดๆ ไปได้อย่างเต็มภาคภูมิ
แง่มุมทั้งหมดจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น มาร่วมค้นหาไปพร้อมๆ กัน
Trust: ความเชื่อใจจากลูกค้า ที่ได้มาด้วยการ “ติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก” และส่งต่องานที่เปี่ยมคุณภาพ
การได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดข้อหนึ่ง และการจะได้ความเชื่อใจนั้นมา ทีมต้องเริ่มต้นให้ถูกจุดก่อน โดย คุณป้อม กล่าวว่าการเป็น BA/SA จำเป็นต้องเข้าใจ ‘เป้าหมายที่แท้จริงของโปรเจกต์’ ก่อนเป็นอย่างแรก
“เราต้องทำความเข้าใจก่อน ว่าแอปฯที่เราจะทำนั้นเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจด้านไหนของลูกค้า อย่างเช่นเพื่อเพิ่มฐานลูกค้า เพื่อลดต้นทุนในบริษัท หรือเพื่อการเพิ่มรายได้ ฯลฯ เราต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเป้าหมายจริงๆ คืออะไร ธีมของโปรเจกต์คืออะไร ใครคือกลุ่มเป้าหมายหลัก ด้วยหลักคิดเหล่านี้ เราจะสามารถสร้างโปรเจกต์ให้อยู่ในกรอบที่ลูกค้าต้องการได้ และทำให้ลูกค้าเริ่มมั่นใจในทีมเราได้ส่วนหนึ่ง”
และแน่นอนว่าในมุมมองของลูกค้า การไปสู่เป้าหมายทุกๆ ข้อในเวลาเดียวกันคือภาพในอุดมคติ ดังนั้น คุณป้อม มองว่า BA/SA จำเป็นต้องสื่อสารให้ลูกค้ามองเห็น Priority ว่าควรให้ความสำคัญกับเป้าหมายไหนก่อน หรือเรียงลำดับอย่างไร สิ่งไหนที่จำเป็นและเชื่อมโยงกับ Core Value ของบริษัท หรือสิ่งไหนเพียงแค่ “Nice to have”
ซึ่ง คุณแจ้ เองเห็นตรงกันในข้อนี้ โดยเธอกล่าวว่า “การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งในฐานะ ‘กระดุมเม็ดแรก’ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากตีความโจทย์ผิด ทีมงานทั้งโปรเจกต์จะหลงทาง”
ขณะที่ลำดับถัดมาคือเรื่องของคุณภาพ โดย คุณแจ้ ได้ให้คำนิยาม ‘งานที่ได้คุณภาพ’ ซึ่งว่าด้วย Commitment และการทำงานแบบ Agile ที่ทำให้มีการตรวจสอบคุณภาพอยู่เสมอ
“อย่างแรกเลยคืออะไรก็ตามที่เราได้ Commit เอาไว้ เราต้องส่งมอบงานให้ได้ตามนั้น งานเราต้องมีคุณภาพดี ไม่มี Bug”
“และเราต้องตรวจสอบคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าผลงานมีคุณภาพและตรงตามความต้องการของลูกค้า เวลามีการประกอบส่วนอื่นๆ เข้ามา เราก็ต้อง Test ให้เห็นว่าในสิ่งที่เติมเข้ามา ไม่ได้ทำให้งานก่อนหน้าเสียหายนะ มันคือการทำ Regression Test หรือกระบวนการทดสอบที่ทำให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงหรือการเพิ่มเติมโค้ดใหม่ๆ ไม่ได้ทำให้สิ่งอื่นถดถอยไป”
ไม่เพียงเท่านั้นยังรวมถึงการเข้าไปทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าด้วยความจริงใจ (ในวันที่นัดพูดคุยกัน ทั้งคุณป้อมและคุณแจ้ก็เพิ่งกลับจากการ On-site ที่ออฟฟิศของลูกค้า ซึ่งเป็นอีกภารกิจหลักของทั้งคู่ไปแล้ว) โดย คุณแจ้ เล่าว่า
“ในฐานะคอนซัลท์ เราเชื่อในการให้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมา เราไม่ได้มุ่งแค่จะขายโปรเจกต์ แต่เราเสนอทางเลือก หรือปรับกระบวนการที่อาจไม่จำเป็นต้องเป็น Digital Solution เสมอไป เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าสามารถปรึกษาเราได้ในระยะยาว”
ฝั่ง คุณป้อม ยังบอกเล่าเพิ่มเติมอีกว่า “ท้ายที่สุดแล้ว การจะทำให้ลูกค้า Trust เรา ก็คือถ้ามีอะไรติดขัด เมื่อเขายกหูโทรหาเราแล้วต้องมีการตอบรับเสมอ เราต้องให้บริการแบบไม่ทอดทิ้ง”
และการจะทำให้ได้งานคุณภาพรวมถึงการบริการแบบไม่ทอดทิ้ง ก็ย่อมมาพร้อมความท้าทายหลายประการ ซึ่งเขามองว่า BA/SA จำต้องหาวิธีจัดการให้ได้เสมอ เช่น หากความต้องการของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลง เราต้องหาวิธีประนีประนอมและจัดการความคาดหวังของลูกค้า เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อโปรเจกต์
หรือหากภายในองค์กรของลูกค้าเองยังมีความเข้าใจไม่ตรงกัน ก็เป็นหน้าที่ของ BA/SA ที่จะช่วยสื่อสารและประสาน เพื่อให้ได้ข้อตกลงร่วมกันที่ชัดเจน หรือกระทั่งในกรณีที่ความท้าทายมาในรูปแบบของเอกสารเก่าหรือเทคโนโลยีเก่าของลูกค้า ทีมก็จำเป็นต้องใช้ทักษะ ‘ชันสูตร’ เอกสารหรือโค้ดเหล่านั้น เพื่อให้เข้าใจข้อมูลและระบบทั้งหมดเสียก่อน
เมื่อจัดการความท้าทายเหล่านี้ได้ คุณภาพ และ Trust จากลูกค้าก็ย่อมตามมา
Ownership: ความเป็นเจ้าของงาน ที่ทำให้ทีมใส่เต็มประสิทธิภาพในทุกโปรเจกต์
อะไรจะทำให้คนเราทุ่มแรงใจให้กับงานได้เท่ากับการที่คนทำงานรู้สึกเป็นเจ้าของงานของตัวเอง ซึ่งในข้อนี้ คุณแจ้ บอกเล่าเอาไว้ว่า “การทำงานโดยคิดว่าผลงานนั้นเป็น ‘ของตัวเอง’ หรือเป็น ‘ลูกของเรา’ มันจะนำไปสู่การออกแบบและพัฒนาที่ใส่ใจในคุณภาพ”
จากนั้นเธอจะสนับสนุนให้ทีมงานมองด้วยสายตาของผู้ใช้ (User) “เวลาดีไซน์อะไร ลองมองว่าถ้าคุณเป็นคนใช้เอง ถ้าทำแบบนี้ คุณจะอยากใช้รึเปล่า หรือเรากล้าไปบอกเขาหรือเปล่าว่าอันนี้เราทำเอง ถ้าเรากล้าบอก นั่นหมายความว่าเรามี Ownership ในงานนั้นแล้ว”
ไม่เพียงเท่านั้น การให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำงานโดยไม่จำกัดเลเวลในที่ทำงาน ยังช่วยให้ทุกคนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของในงานได้โดยทั่วกัน
“ที่นี่เราให้โอกาสคนทำงานทุกเลเวลได้มีส่วนรับผิดชอบในงาน เพราะความคิดเห็นของทุกคนล้วนแต่มีประโยชน์ เพียงแต่ในส่วนที่เขาต้องจัดการอาจจะมีระดับความเสี่ยงที่ต่างกันไป เราอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมเพื่อความเป็น Ownership ที่มีร่วมกัน”
ขณะที่ คุณป้อม เองบอกเล่าคล้ายๆ กันว่า “ผมมักจะบอกน้องๆ เสมอว่าหนึ่งในธีมสำคัญของเราก็คือ Ownership นั่นคือ สิ่งไหนที่เราทำ เราต้องมองว่าเราเป็นผู้ใช้เอง และมองว่างานนั้นเป็นของของเราเอง ซึ่งมันจะส่งผลดีต่อวิธีคิดในการทำงาน เพราะทำให้เราคิดเผื่อลูกค้า และคิดถึงการต่อยอดนวัตกรรม”
“สมมติว่าเราทำ Mobile Banking สักแอปฯหนึ่งแล้วเจอคนใช้บนรถไฟฟ้า มันจะใจฟูมาก เพราะเรารู้สึกว่านี่คืองานของเรา นี่แหละคือ Ownership แล้วพอเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาครั้งหนึ่ง มันก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ พอถึงงานหน้าเราก็ใส่เต็มเหมือนเดิม เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของงาน”
และเช่นเดียวกับที่ คุณแจ้ กล่าวเอาไว้ข้างต้น คุณป้อม เองก็ใช้วิธีกระตุ้นให้ทีมคิดในสายตาของผู้ใช้
“มันคือการมองเผื่อว่าถ้าเป็นเรา เราจะใช้ยังไง หรือถ้าเป็นแอปฯที่เป็นขององค์กรโดยตรง ไม่ได้ใช้โดยคนทั่วไป เราก็ต้องทำให้ทีมรู้ว่าแอปฯนี้มันสำคัญกับพนักงานของบริษัทลูกค้ายังไง เราต้องชี้ให้เห็น Impact ของแอปที่เราทำ แล้ว Ownership จะตามมาเอง” เขากล่าว
Flexibility: ความยืดหยุ่นเรื่องเวลาและวิธีการ ที่มาพร้อมการ ‘บาลานซ์’ ให้พอดี
หากจะบอกว่าทั้ง คุณป้อม และ คุณแจ้ คือหัวหน้าที่พร้อมให้ความยืดหยุ่นกับทีมแทบจะตลอดเวลา ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเกินจริง เนื่องจากความยืดหยุ่นในการทำงาน นำไปสู่วิธีการทำงานที่เหมาะสม เวลาที่เหมาะสม และนำไปสู่การดึงศักยภาพของคนทำงานออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยในเวลาเดียวกันก็ต้องมาพร้อมกับการ ‘บาลานซ์’ ให้ทีมยังคงมีวินัยในการจะทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างรัดกุม ไม่ตกหล่น
ทางด้านวิธีการทำงาน คุณป้อม เล่าว่า เขาไม่เคยจำกัดการใช้เครื่องมือ เพียงแต่ต้องมีมาตรฐานและเทมเพลตการทำงานเพื่อให้ทีมสามารถสร้างสรรค์ได้ภายใต้กรอบที่กำหนด
“ทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนได้ครับ ถ้าพบว่ายังไม่เจอเครื่องมือที่ตอบโจทย์กว่าก็สามารถวกกลับมาใช้สิ่งที่เราเตรียมไว้ให้ได้ และอย่างน้อย ขอให้เข้าใจว่าทำไมต้องใช้เทมเพลตตัวนี้ มันมีไว้เพื่อตอบโจทย์อะไร เพื่อให้ Developer ทำงานต่อได้ เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจ Requirement แล้วสามารถ Sign-off ให้เราได้ เพื่อให้ Tester เอาไปเขียน Test-case ได้ มันมีที่มาที่ไปหมดว่าทำไมเลือกทำแบบนี้ พอเราถ่ายทอดสิ่งนี้กับทีมไปแล้ว เขาก็จะสามารถเอาไปสร้าง Variation ของตัวเองได้โดยใช้พื้นฐานที่เราเตรียมไว้ให้ นี่คือความยืดหยุ่น เราไม่ได้จำกัดว่าต้องทำงานแบบนี้ๆ เท่านั้น”
ทางด้านเวลาในการทำงาน ที่ Bluebik Vulcan ไม่มีการตอกบัตรหรือกำหนดเวลาเข้า-ออกตายตัว แต่ด้วยความเชื่อมั่นใน Ownership ของทีม จึงทำให้สามารถให้ความยืดหยุ่นกับคนทำงานได้ เช่น การหยุดชดเชยเมื่อทำงานนอกเวลา หรือการเข้าออฟฟิศสายสักหน่อยหลังจากอยู่ดึกในวันก่อนหน้า ฯลฯ
“การฟิกซ์เวลาเนี่ย ผมมองว่ามันไม่ได้ใจคน เพราะเมื่อไหร่ที่เราจำเป็นต้องขอให้เขาทำงานนอกเวลา เขาจะไม่เห็นว่าต้องทำให้ ต้องยอมรับว่าด้วยงานของเรา ยังไงก็ต้องมีการทำงานนอกเวลาอยู่แล้ว เช่นเราทำแอปฯของธนาคาร ที่เขามีผู้ใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง และหากต้องมีการ Deploy ในช่วงกลางคืน เราก็ต้องจัดการให้ได้ตามไทม์ไลน์นั้นๆ เพื่อที่ว่าในตอนเช้า ผู้ใช้จะสามารถใช้งานแอปฯได้อย่างราบรื่น เพราะมันคือความจำเป็นของทั้งลูกค้าและผู้ใช้”
“ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะต้องมาคอยดูเวลาเข้างานของใคร เพียงแต่อยู่บนพื้นฐานที่ว่า ยืดหยุ่นได้ แต่ต้องไม่เละเทะนะครับ”
โดย คุณแจ้ ได้เสริมเรื่อง Flexibility เอาไว้ว่า ความยืดหยุ่นในการทำงานเช่น เวลาทำงาน หรือวิธีการ ต้องสมดุลกับความรับผิดชอบและ Commitment ในการส่งงานตามกำหนด
“มันต้องบาลานซ์ให้ดี เพราะเราไม่ได้ทำงานคนเดียว เราทำงานกันเป็นทีม เราให้พื้นที่คุณในการ Manage นะ แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้อง Integrate แล้ว ก็ต้องทำให้ได้ตาม Commitment และในช่วงเวลาสำคัญๆ เช่นจะมีการเทสต์แต่ล่ะครั้ง ทีมควรอยู่ร่วมกัน เพื่อเวลามีจุดไหนที่ต้องปรับแก้ จะสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว เราดูหน้าจอแล้วแก้ด้วยกันได้เลย ถ้าบาลานซ์ได้ เราก็จะให้อิสระคุณได้อย่างเต็มที่เหมือนกัน เพราะเราเห็นแล้วว่าคุณทำตาม Commitment ได้”
“เช่นเดียวกับเครื่องมือที่เลือกใช้ เรามีความยืดหยุ่น ขณะเดียวกันก็ต้องหาจุดกึ่งกลางระหว่างเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับปัจจัยต่างๆ ของลูกค้า เช่นปัจจัยด้านการเงิน รวมถึงบุคลากรของลูกค้าที่จะมาใช้เทคโนโลยีนั้นๆ ต่อ ว่าเขาต้องเรียนรู้ใหม่หมดหรือเขาสามารถใช้งานต่อได้”
ไม่เพียงเท่านั้น ความยืดหยุ่นก็จำเป็นต้องมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดย คุณแจ้ ยกตัวอย่างให้เห็น เช่นในการทำทุกโปรเจกต์จะต้องมี Face-to-Face Communication ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างความเข้าใจและตรวจสอบความถูกต้องของ Requirement โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นและช่วงเวลาสำคัญๆ
“การมาคุยกันแบบเจอหน้ากัน มันช่วยให้อ่านภาษากายได้ และสามารถมั่นใจได้ว่าทุกคนเข้าใจตรงกัน” เธอกล่าว
Legacy: สิ่งที่ส่งต่อให้คนทำงานรุ่นถัดไปได้อย่างภาคภูมิ
เชื่อมโยงได้กับหัวข้อที่แล้ว สำหรับ คุณแจ้ การสร้าง Legacy ในมุมมองของเธอคือการสร้าง ‘ความรับผิดชอบ’ ให้กับทีมงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่ Trust และ Flexibility ในการทำงาน
อีกทั้งยังรวมถึงการ Grooming ผู้นำรุ่นถัดๆ ไป เน้นการสอนงานแบบ On-the-job โดยเป็นผู้สนับสนุนและให้คำแนะนำ มากกว่าการชี้นำทุกขั้นตอน โดยจะให้ Senior ในทีมช่วยดูแลและสอนน้องๆ Junior เพื่อให้แต่ละคนได้พัฒนาสไตล์การบริหารจัดการของตนเอง
ขณะเดียวกันในช่วงเวลาที่ทีมต้องทำงานหนัก ผู้บริหารควรอยู่เคียงข้าง “เวลาอยู่ดึก ผู้บริหารก็ต้องอยู่ดึกด้วยกัน อาจจะซื้อขนมหรือน้ำให้น้องๆ หรือเวลามีอะไร หัวหน้าก็ต้องช่วยเหลือด้วยการรับหน้าลูกค้า เพื่อให้น้องๆ มีเวลาไปแก้ปัญหา ซึ่งนี่ถือเป็นการแสดงความใส่ใจและความรับผิดชอบต่อทีม ไม่ให้น้องๆ รู้สึกโดดเดี่ยว”
ทางด้าน คุณป้อม Legacy ของเขาคือการส่งต่อ ‘วิธีการทำงาน’ และ ‘แนวคิด’ ที่คนทำงานรุ่นถัดๆ ไปสามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การสร้างมาตรฐานในการทำงาน การจัดการข้อมูลและเอกสาร จนถึงวิธีการดูแลลูกค้า
“ในการทำงานเราจะมองหา Successor รุ่นถัดไปไว้เสมอ และเวลามีน้องเข้ามาใหม่ๆ เราก็จะบอกน้อง สื่อสารกับน้องให้เขาได้เข้าใจ เวลาคุยกับพนักงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ผมจะใช้เวลากับเขาค่อนข้างเยอะ เช่นว่ามาตรฐานของเราคืออะไร งานที่ผ่านมา ที่เป็นความภาคภูมิใจของพวกเราคืออะไร ซึ่งในแต่ละงานมันก็จะมี Story แทรกอยู่ว่า เพราะวิธีการทำงานของเราเป็นแบบนี้ เราถึงได้ Success มาเป็นแบบนี้”
“และเราก็จะส่งต่อวิธีทำงานที่เราต่าง Agree ร่วมกัน เราจะจัดการข้อมูลหรือเอกสารชุดนี้แบบนี้ เราจะดูแลลูกค้าแต่ละเจ้าแบบนี้ ซึ่งทุกอย่างมาพร้อมที่มาที่ไปว่าเราทำแบบนี้ทำไม เพื่ออะไร นำไปสู่อะไร เราไม่ได้ส่งต่อแค่เรื่องเชิงเทคนิก แต่เราต้องเข้าถึง Trust ของลูกค้าด้วย”
ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับ คุณป้อม การให้โอกาสและการดูแลทีมก็นับเป็น Legacy เช่นกัน โดยการที่หัวหน้าให้โอกาสพนักงานที่เคยทำพลาด และดูแลเอาใจใส่สุขภาพจิตของทีมงาน ทำให้พวกเขาสามารถเติบโตเป็นผู้นำที่ดีและส่งต่อแนวคิดการให้โอกาสกับรุ่นน้องต่อๆ ไปได้
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสำหรับ คุณป้อม และ คุณแจ้ การทำงานโดยมี Trust, Ownership และ Flexibility ล้วนแต่ส่งผลดีต่อการสร้าง Legacy เพราะนำไปสู่การทำงานที่มีคุณภาพและประสบความสำเร็จ ซึ่งจะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้การทำงานง่ายขึ้นและราบรื่นนั่นเอง
หากคุณคือคนทำงานในสาย Business Analyst หรือ System Analyst ที่ชอบงานท้าทาย ไม่จำเจ พร้อมได้เรียนรู้และต่อยอดประสบการณ์ เราอยากชวนคุณมาเป็นทีม Bluebik ด้วยกันกับเรา สามารถดูตำแหน่งที่เปิดรับและสมัครเข้ามาได้ทาง https://bluebik.com/th/job/