ยกระดับบริการรัฐให้รวดเร็ว โปร่งใสและน่าเชื่อถือกว่าเดิม ด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง
โลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล กดดันให้ภาครัฐต้องคิดและปรับวิถีการทำงานให้สอดรับกับกระแสการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ความรวดเร็วและปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง

ปัจจุบันเจ้าหน้าที่รัฐต้องรับมือกับภาระงานจำนวนมาก — ตั้งแต่การตรวจสอบเอกสาร ค้นคว้าข้อมูล วางแผน ส่งรายงาน ประชุม ไปจนถึงตอบอีเมล งานที่ซ้ำซ้อนและต้องอาศัยเวลาจำนวนมากเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง แต่ยังส่งผลให้การตอบสนองต่อปัญหาของประชาชนและภาคธุรกิจล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น ยิ่งไปกว่านี้ปริมาณข้อมูลและเอกสารที่ต้องจัดการย่อมมีแต่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ภาครัฐต้องเผชิญแรงกดดันในการปรับตัวให้ทันกับโลกดิจิทัลมากยิ่งขึ้น
สภาพแวดล้อมรอบตัวที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว — กำลังเร่งให้ภาครัฐต้องยกระดับประสิทธิภาพและสร้างยืดหยุ่นในกระบวนการทำงานในทุกมิติ
- เศรษฐกิจที่เปราะบาง: อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จาก 2.5% ในปี 2567 เหลือเพียง 1.6% ในปี 2569 ตัวเลขนี้ทำให้ภาครัฐต้องเร่งสร้าง “ผลลัพธ์ที่จับต้องได้” ผ่านนโยบายและโครงการที่ตอบโจทย์ประชาชนได้อย่างแท้จริง
- ความคาดหวังมาตรฐานด้านบริการที่สูงขึ้นของภาคประชาชน: ผู้คนคุ้นชินกับบริการดิจิทัลที่รวดเร็วและไร้รอยต่อจากภาคเอกชน ส่งผลรัฐจึงต้องพัฒนาเทคโนโลยีและระบบบริการให้เท่าทัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สะดวก โปร่งใส และเชื่อถือได้
- การปรับปรุงทักษะบุคลากร: ปริมาณงานและบริการที่ซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มผลิตภาพการทำงาน ผ่านการพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร และการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการปรับปรุงกระบวนการทำงาน แต่คือการ “ยกระดับแนวคิดและโครงสร้างการบริหารงานภาครัฐ” ให้พร้อมขับเคลื่อนด้วยข้อมูล รวดเร็ว และเทคโนโลยีอัจฉริยะ
ถอดบทเรียน: การปรับใช้ AI ของประเทศชั้นนำ
ประเทศชั้นนำของโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุค “รัฐบาลอัจฉริยะ (AI-Powered Government)” โดยมีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นกลไกสำคัญ จากกรณีศึกษาของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน และสิงคโปร์ สะท้อนให้เห็นว่านอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแล้ว AI ยังปรับเปลี่ยนวิธีคิดและโครงสร้างการดำเนินงานของภาครัฐอย่างแท้จริง
🇺🇸 สหรัฐอเมริกา: ระบบตรวจคนเข้าเมืองอัจฉริยะและหน่วยงานรัฐไร้กระดาษ (AI-Driven Border & Document Intelligence)
รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning (ML) เพิ่มความรวดเร็วและความแม่นยำในภารกิจสำคัญ เช่น การตรวจคนเข้าเมืองและการจัดการเอกสารภาครัฐ
- Border Control Intelligence: ระบบยืนยันตัวตนอัตโนมัติด้วย Facial Recognition ที่สนามบิน ท่าเรือ และด่านทางบก ลดกระบวนการตรวจเอกสารแบบ manual และรองรับ Biometric Exit สำหรับผู้โดยสารขาออก
ผลลัพธ์:
▪️ ประหยัดเวลาตรวจสอบผู้เดินทางลง 30–40%
▪️ ตรวจจับบุคคลสวมรอยได้กว่า 1,600 ราย
▪️ระบุผู้พำนักเกินกำหนดได้แม่นยำกว่าเดิมถึง 40,000 ราย
- AI-Driven Paperless: แนวคิด “หน่วยงานรัฐไร้กระดาษ” ที่ใช้ AI และ ML แปลงเอกสารเป็นดิจิทัล ตรวจจับข้อผิดพลาดและจัดหมวดหมู่โดยอัตโนมัติ
ผลลัพธ์:
▪️ ลดการใช้กระดาษกว่า 200 ล้านแผ่นต่อปี
▪️ คืนภาษีได้เร็วขึ้นหลายสัปดาห์ต่อราย
▪️ ประหยัดงบจัดเก็บเอกสารกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
🇬🇧 สหราชอาณาจักร: ยกระดับความโปร่งใสด้วย AI ด้านภาษีและการมีส่วนร่วมของประชาชน (AI for Trust and Transparency)
รัฐบาลอังกฤษปรับใช้ AI ในกระบวนการป้องกันการทุจริตทางการเงินและเพิ่มความโปร่งใสของนโยบาย ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลในระดับที่มนุษย์ไม่อาจทำได้
- Tax Fraud Intelligence:
ระบบวิเคราะห์ธุรกรรมและแบบฟอร์มภาษีด้วย AI เพื่อระบุพฤติกรรมเสี่ยงต่อการทุจริต เช่น การคืนภาษีเท็จหรือการยื่นข้อมูลปลอม
ผลลัพธ์:
▪️ ลดระยะเวลาตรวจสอบลงกว่า 60%
▪️ ป้องกันเงินสาธารณะสูญหายกว่า 480 ล้านปอนด์ (เมษายน 2024 – กันยายน 2025)
- Citizen View Analytics:ใช้ AI (Natural Language Processing) วิเคราะห์ข้อมูลจากการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (Public Hearing) และ Public Consultation มากกว่า 50,000 ความเห็นภายใน 2 ชั่วโมง
ผลลัพธ์:
▪️ ลดระยะเวลาการวิเคราะห์จากหลายเดือนเหลือเพียง 2 ชั่วโมง
▪️ ลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรกว่า 20 ล้านปอนด์ต่อปี
🇨🇳 จีน: AI บริหารเมืองและระบบราชการอย่างอัจฉริยะ (AI for Smart Governance)
รัฐบาลจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลักดันการใช้ AI ในระดับปฏิบัติการจริง ตั้งแต่ระบบจราจรอัจฉริยะไปจนถึง “ข้าราชการเสมือนจริง”
- AI Traffic Management: ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากกล้อง CCTV แบบเรียลไทม์ เพื่อคาดการณ์การจราจรและปรับสัญญาณไฟอัตโนมัติ พร้อมตรวจจับอุบัติเหตุและประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผลลัพธ์:
▪️ เพิ่มความเร็วเฉลี่ยของการระบายรถ 10–15%
▪️ ลดเวลารอไฟแดงเฉลี่ย 20–30 วินาทีต่อแยก
▪️ ลดเวลาในการจัดการอุบัติเหตุลง 60%
- Gov AI Agent (AI Digital Employees): พัฒนา “AI ผู้ช่วยของรัฐ” เพื่อช่วยงานด้านเอกสาร การส่งคำร้อง และบริการประชาชน ครอบคลุมกว่า 11 หน่วยงานทั่วประเทศ
ผลลัพธ์:
▪️ ลดเวลาในการตรวจทานเอกสารลง 90%
▪️ เพิ่มความถูกต้องในการส่งต่อคำร้องจาก 70% เป็น 90%
▪️ เพิ่มประสิทธิภาพการมอบหมายงานข้ามหน่วยงานขึ้น 80%
🇸🇬 สิงคโปร์: AI เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รัฐ (AI for Public Workforce Productivity)
สิงคโปร์พัฒนาโครงการ PAIR (Public AI Readiness) — ระบบ GenAI ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทนโยบายของประเทศ เจ้าหน้าที่สามารถใช้ระบบนี้เพื่อระดมสมอง ร่างเอกสาร วิเคราะห์ข้อมูล หรือเขียนโปรแกรมเบื้องต้น ช่วยลดเวลาในงานเอกสารและงานธุรกิจลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผลลัพธ์:
▪️ ประหยัดเวลาในการทำงานเอกสารและธุรการได้ถึง 46%
▪️ เพิ่มเวลาสำหรับงานเชิงกลยุทธ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ
เปิด 4+1 แกนสำคัญสู่ความสำเร็จของ AI-Powered Government
จากกรณีศึกษาของประเทศชั้นนำอย่างสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา จีน และสิงคโปร์
พบว่า การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการงานภาครัฐ จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการวางรากฐานอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูล กระบวนการ และทักษะของบุคลากร

AI-Powered Government ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จึงต้องพัฒนา “4+1 แกนสำคัญ” ดังต่อไปนี้
- Start with People First – เริ่มจากการทำความเข้าใจความต้องการของบุคลากรภาครัฐและประชาชน เพื่อออกแบบเทคโนโลยีและบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง และช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้รับบริการได้อย่างแม่นยำ
- Build Trust & Transparency – วางระบบมาตรฐาน การกำกับดูแล และความโปร่งใสของข้อมูล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้เทคโนโลยีจากทุกภาคส่วน
- Invest in Data & API Infrastructure – ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลและระบบเชื่อมต่อ (API) เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Scale with Reusable Models & Services – พัฒนาแพลตฟอร์มและโมเดลบริการที่สามารถขยายผลและใช้ซ้ำได้ ลดต้นทุนการดำเนินงาน และยกระดับมาตรฐานกลางของระบบราชการ
➕1 Upskill Workforce Continuously – การขับเคลื่อน 4 แกนหลักดังกล่าวต้องทำควบคู่กับการพัฒนาทักษะบุคลากรภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมต่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและเข้าใจบทบาทของ AI ในการขับเคลื่อนนโยบาย เพราะรัฐบาลที่ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิผล ต้องเริ่มจาก “คน” ที่เข้าใจและใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด
แนวทางสู่ AI-Powered Government ของไทย
เมื่อภาครัฐของหลายประเทศกำลังมุ่งสู่การยกระดับการให้บริการภาคประชาชนด้วย AI ส่งผลให้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีแผนพัฒนาที่ชัดเจน เพื่อเปลี่ยนจาก “รัฐบาลดิจิทัล” สู่ “รัฐบาลอัจฉริยะ” ที่สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว โปร่งใส และแม่นยำด้วยพลังของข้อมูลและ AI
การพัฒนา “รัฐบาล AI” เป็นแผนงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถของระบบดิจิทัล ด้วยการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนงานตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ไปจนถึงการสร้างระบบที่สามารถเรียนรู้และตัดสินใจได้ด้วยตนเองอย่างชาญฉลาด เส้นทางของประเทศไทยจึงสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะสำคัญ ดังนี้
- Now Government — Government with Digital Foundation: ภาครัฐยังอยู่ในช่วงการใช้ เครื่องมือดิจิทัลขั้นพื้นฐาน เพื่อเพิ่มความสะดวกในการดำเนินงาน เช่น การใช้ระบบออนไลน์เพื่อจัดการข้อมูล เอกสาร และการติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงาน แม้จะช่วยลดภาระงานได้บางส่วน แต่ยังคงเป็นลักษณะการทำงานแบบแยกส่วน และต้องอาศัยแรงงานคนเป็นหลัก
- AI-Enabled Government — Government with AI-Assisted Capabilities: เริ่มมีการนำ AI และระบบอัตโนมัติ (Automated System) เข้ามาช่วยสนับสนุนกระบวนการตัดสินใจ เพื่อให้บุคลากรทำงานได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแบบอัตโนมัติ การจัดการเอกสารและรายงานด้วยระบบ Machine Learning หรือการส่งต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงานแบบเรียลไทม์ผ่าน API กลาง
- AI-Native Government — Government with Agentic Intelligence: จุดสูงสุดของการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลอัจฉริยะ ที่ระบบสามารถ ตัดสินใจและดำเนินการได้อัตโนมัติ (Autonomous System) ภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใส เช่น การคาดการณ์และจัดสรรงบประมาณเชิงรุก การตรวจสอบและตอบสนองเหตุฉุกเฉินโดยไม่ต้องรอคำสั่ง หรือการให้บริการภาครัฐที่ปรับเปลี่ยนตามความต้องการของแต่ละบุคคล (Personalized Public Service) ซึ่งเป็นระดับที่ AI ทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างสมบูรณ์ (Agentic Collaboration)
การเดินทางจาก “Now Government” สู่ “AI-Native Government” ต้องทำมากกว่าการอัปเกรดระบบเทคโนโลยี แต่คือการ “ยกระดับวิธีคิดและรูปแบบการบริหารภาครัฐทั้งระบบ” เพื่อสร้างรัฐบาลที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลในอนาคต
Essentials for AI-Government — กลไกในการขับเคลื่อนรัฐบาล AI
เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคของ AI-Powered Government ความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านจะขึ้นอยู่กับ “กลไกหลัก 5 ด้าน” ซึ่งต้องถูกพัฒนาไปพร้อมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างรัฐบาลที่มีความยืดหยุ่น โปร่งใส และมีประสิทธิภาพสูงสุด

Essentials for AI-Government — กลไกในการขับเคลื่อนรัฐบาล AI
เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคของ AI-Powered Government ความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านจะขึ้นอยู่กับ “กลไกหลัก 5 ด้าน” ซึ่งต้องถูกพัฒนาไปพร้อมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างรัฐบาลที่มีความยืดหยุ่น โปร่งใส และมีประสิทธิภาพสูงสุด
การออกแบบ “AI-Powered Government” ที่แท้จริงจึงต้องอาศัยการวางกลยุทธ์เชิงองค์รวม ตั้งแต่การกำหนดวิสัยทัศน์ด้านข้อมูล (Data Vision) การวางระบบธรรมาภิบาล (AI Governance) ไปจนถึงการออกแบบกระบวนการและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลอย่างยั่งยืน
บลูบิค ในฐานะที่ปรึกษาชั้นนำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน พร้อมร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner)
ให้กับหน่วยงานภาครัฐในการสร้าง “AI Transformation Roadmap” ที่ครอบคลุมทั้งมิติ บุคลากร (People), กระบวนการ (Process), ข้อมูล (Data) และ ธรรมาภิบาล (Governance)
เพื่อยกระดับการให้บริการภาครัฐด้วย AI อย่างเป็นรูปธรรม
ผ่านบริการหลักภายใต้กลุ่ม Management Consulting ได้แก่
- Strategy Formulation & Operating Model Design – กำหนดทิศทางและโมเดลการดำเนินงานขององค์กรภาครัฐให้รองรับ AI และเทคโนโลยีดิจิทัล
- Performance Improvement – ปรับโครงสร้างและกระบวนการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความซ้ำซ้อนในการให้บริการประชาชน
- Transformation Program Management – วางแผนและบริหารโครงการเปลี่ยนผ่านขนาดใหญ่ (Transformation Program) ให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิผล
- Organization & People Transformation – พัฒนาโครงสร้างองค์กร วัฒนธรรม และสมรรถนะของบุคลากรให้พร้อมสำหรับยุคของ AI
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ เทคโนโลยี และการเปลี่ยนผ่านองค์กรแบบครบวงจร บลูบิค มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ “AI-Powered Government” ที่โปร่งใส ยืดหยุ่น และยั่งยืน