สิ่งที่ต้องลงทุนเพื่อเป็น DIgital First Company และศิลปะการบริหารจัดการคน Gen Z ที่จะมาขับเคลื่อนองค์กร

10 เรื่องที่องค์กรต้องลงทุนเพื่อ Digital Transformation และวิธีบริหารจัดการคน Gen Z ด้วย 3 เสาหลัก พร้อมกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง

21 พฤศจิกายน 2568

By Bluebik

< 1 Mins Read

ในหลักสูตร Bytes to Billion: Unlocking Digital Fortune โดย AIS คุณพชร อารยะการกุล’ CEO บลูบิค กรุ๊ป ได้บอกเล่าถึงหัวข้อสำคัญในการพัฒนาธุรกิจในโลกที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค ‘Digital First’ โดยมี AI เป็นเทคโนโลยีหลัก และกลุ่มคนหลักที่จำเป็นต้องโฟกัสก็คือเหล่า ‘Digital Native’ หรือคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมโลกดิจิทัล ซึ่งได้แก่เหล่าคน Gen Z เป็นต้นไป ที่กำลังจะกลายมาเป็นกลุ่มลูกค้าหลักและกำลังหลักในองค์กร ดังนั้นการทำความเข้าใจอินไซต์ของคนรุ่นใหม่จึงสำคัญอย่างยิ่ง 

โอกาสนี้คุณพชรจึงได้นำเสนอประเด็นหลักๆ 2 หัวข้อด้วยกัน นั่นคือวิธีการลงทุนเพื่อเป็น Digital First Company และศิลปะการบริหารจัดการคน Gen Z ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร 

จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เราลองไปดูกันทีละประเด็น 

10 สิ่งที่องค์กรต้องลงทุน เพื่อเป็น Digital First Company 

ในฐานะที่บลูบิคได้ทำงานใกล้ชิดกับองค์กรชั้นนำมากมาย จึงต้องทำ Reseach Development ตลอดเวลา จนมองเห็นแพทเทิร์นของการลงทุนว่าบริษัทที่ต้องการปรับตัวเองให้เป็น Digital First ลงทุนเรื่องอะไรกันบ้าง และได้ข้อสรุปออกมา 10 ข้อดังต่อไปนี้ 

1. Hyper-personalized Omnichannel: ข้อเสนอที่ใช่ ในเวลาที่ใช่ ผ่านช่องทางที่ถูกต้อง  

องค์กรต้องสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าแต่ละบุคคลโดยแบ่งเป็น ‘Segment of One’ ไม่ใช่แบบกลุ่มอีกต่อไป และต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าอย่างลึกซึ้งผ่าน ‘Micro Moment Personalization’ หรือการเก็บข้อมูลจาก Internet of Things หรือการดูกล้องวงจรปิด เพื่อให้เห็น Journey การจับจ่ายของลูกค้า และที่สำคัญ AI มีบทบาทอย่างมากในการช่วยวางแผนและนำเสนอโปรดักต์หรือบริการแบบเฉพาะบุคคล 

2. Hybrid Automation: ระบบอัตโนมัติแบบผสมผสาน  

ขณะที่บางงานใช้เทคโนโลยีได้ 100% แต่บางงานก็ยังคงต้องใช้มนุษย์ ดังนั้นจึงควรใช้ระบบอัตโนมัติร่วมกับการทำงานของมนุษย์ในการปฏิสัมพันธ์หรือจัดการงานที่มีความซับซ้อน  

3. Augmented Intelligence: การใช้ AI เข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานของมนุษย์ 

ให้ AI ทำหน้าที่เป็น ‘ผู้ช่วย’ ไม่ว่าจะเป็น Copilot หรือ AI Agent เพื่อสนับสนุนการทำงานของมนุษย์ เช่นช่วยย่นระยะเวลาการทำงาน หรือเพิ่ม Productivity ของคนทำงาน โดยคนทำงานที่มีประสบการณ์จะยิ่งใช้ AI ช่วยงานได้ดียิ่งขึ้น 

4. Cloud Utilization: การใช้บริการคลาวด์ 

การใช้บริการ Cloud จะช่วยลดการลงทุนในการซื้อเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มที่ ทำให้ช่วยลดภาระกระแสเงินสด และเพิ่มความยืดหยุ่นในการขยายหรือลดขนาดในทันที ตามความต้องการทางธุรกิจที่ผันผวน 

5. DevSecOps: Development + Security + Operations  

ตลาดปัจจุบันต้องการโปรดักต์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องมีการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มโอกาสการ Deploy ฟังก์ชั่น ฟีเจอร์ หรือการอัปเดตใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วขึ้นจากหลักเดือนสู่หลักวัน  

6. Partnership API: การบริหารจัดการ API ให้สามารถเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์ได้ 

การเชื่อมโยงระบบซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชั่นเข้าด้วยกันเพื่อสร้างบริการใหม่ๆ และแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เช่นการเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์ในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ 

7. Cyber Security: ความปลอดภัยทางไซเบอร์ 

หลายๆ องค์กรชั้นนำเลือกลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพราะการพึ่งพาดิจิทัลมากขึ้นก็มาพร้อมความเสี่ยง โดยจากสถิติแล้วมีการโจมตีด้วย Ransomware หรือการแฮ็กรหัสเพื่อเรียกค่าไถ่ ในทุกๆ 2 วินาที และธุรกิจค้าปลีกมักเป็นเป้าหมายหลัก ทั้งยังมีการโจมตีแบบ Supply Chain Attack หรือการโจมตีผ่านพาร์ทเนอร์หรือหรือซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้อง เช่นการปลอมแปลงอีเมลเพื่อเปลี่ยนเลขบัญชี รวมถึง Social Engineering หรือการโจมตีที่มนุษย์ที่เป็นจุดอ่อนของระบบโดยตรง  

ดังนั้นองค์กรต้องลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างจริงจัง รวมถึงต้องใช้ AI ช่วยตรวจจับภัยคุกคามและปรับปรุงกระบวนการภายใน 

8. Hyper-scalability Modernization: การปรับปรุงระบบเดิมให้มีความสามารถในการขยายตัวอย่างไม่จำกัด (Hyper-scalability) 

สร้างกระบวนการที่องค์กรปรับปรุงและออกแบบระบบไอทีและโครงสร้างพื้นฐานเดิมใหม่ เพื่อให้สามารถ รองรับปริมาณงานและการเติบโตของผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็วและไม่จำกัด (Hyper-scale) โดยยังคงรักษาประสิทธิภาพและความเสถียรเอาไว้ได้ 

9. Digital Trust: สร้างความเชื่อมั่นทางดิจิทัล 

การยกระดับความมั่นใจที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีต่อองค์กร ในการจัดการและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ทรัพย์สินทางปัญญา และการทำธุรกรรม  

10. AI-powered Risk Management: การบริหารจัดการความเสี่ยงด้วย AI  

การนำ AI มาใช้ในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการจัดการความเสี่ยงขององค์กรทั้งหมด ตั้งแต่การระบุ การประเมิน การตรวจสอบ ไปจนถึงการจัดการความเสี่ยงนั้นๆ  

โดยคุณพชรยังได้เสนออีกว่า การจะไปสู่ 10 ข้อนี้ จำต้องอาศัย ‘3 เสาหลัก’ อันได้แก่ 

1. Digital Native Team 

หรือทีมงานที่โตมากับความเป็นดิจิทัล  

2. Dynamic Demand Ready 

หรือความสามารถขององค์กรในการปรับตัวหรือตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจ  

3. Light Speed Velocity 

หรือการดำเนินการต่างๆ ด้วยความเร็วสูงสุดในทุกมิติขององค์กร และสำหรับการมี Digital Native Team คุณพชรได้ขยายความเอาไว้ในประเด็นหลักข้อถัดไป นั่นคือ 

ศิลปะการบริหารจัดการคน Gen Z ที่จะเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนองค์กร 

1. เข้าใจลักษณะสำคัญของคน Gen Z 
  • ความเป็น Digital Native พวกเขาเติบโตมากับอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย และเจอกับยุคโควิด-19 ที่ยิ่งทำให้โลกดิจิทัลมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น 
  • พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย คนรุ่นใหม่มักใช้แพลตฟอร์มอย่าง YouTube, TikTok และ Instagram สูงเป็นอันดับต้นๆ โดยมักใช้ดูคลิปขนาดสั้นเป็นหลัก 
  • การค้นหาข้อมูล: ไม่ใช้ Google เป็นหลัก แต่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและเลือกเชื่อ Influencer 
  • การสื่อสาร: ชอบการสื่อสารที่สั้น กระชับ ไม่เป็นทางการ ใช้คำย่อและอิโมจิ (ที่มีความหมายต่างออกไปจากคนรุ่นก่อน) อีกทั้งไม่ชอบการโทรศัพท์ 
  • ให้ความสำคัญกับโลกโซเชียล: ใช้เวลาบนโซเชียลมีเดียสูง มองว่ากิจกรรมที่น่าสนใจต้องแชร์บนโซเชียลได้ และหน้าโพรไฟล์โซเชียลมีเดียคือ ‘CV’ หรือตัวตนของพวกเขา 
  • แรงขับเคลื่อนจากโดปามีน: โซเชียลมีเดียทำให้ติดความสุขและผลตอบรับที่รวดเร็ว (Dopamine Hits) จึงชอบเนื้อหาที่สั้นและกระตุ้นได้เร็ว 
  • รับอิทธิพลจากทั่วโลก: รับกระแสวัฒนธรรมจากต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว 
  • ถูกหล่อหลอมโดยอัลกอริทึม: มุมมองและความคิดถูก shaping โดยอัลกอริทึมบนโซเชียลมีเดีย ทำให้แต่ละคนเห็นเนื้อหาต่างกัน 
  • ความกังวลและความเครียด: มีโอกาสเครียดง่ายกว่าคนรุ่นอื่น จากการเปรียบเทียบในโซเชียลมีเดีย ข้อมูลท่วมท้น (Information Overload) และเบิร์นเอาท์ได้ง่าย 
  • Work From Home (WFH): คนรุ่นใหม่คุ้นเคยกับการเรียนออนไลน์และการทำงานจากที่บ้าน จึงให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงานสูง การเข้าออฟฟิศ 100% ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป 
2. มี ‘กลยุทธ์’ ในการบริหารจัดการคน Gen Z 
  • ใช้ความเข้าใจในการสื่อสาร 
  • ผู้นำควรเปิดรับเนื้อหาและแพลตฟอร์มที่ Gen Z ใช้ 
  • มี ‘Gen Z Translator’ หรือพนักงานรุ่นใหม่ในทีมเพื่อช่วยเชื่อมโยงและทำความเข้าใจกับคนรุ่นใหม่ 
  • ปรับรูปแบบการสื่อสารให้สั้น ไม่เป็นทางการ ใช้ช่องทางแชทแทนการโทรศัพท์หรืออีเมล 
สร้างแรงจูงใจและให้การยอมรับ 
  • ใช้ Gamification เช่นการแข่งขันหรือชาเลนจ์ในการทำงาน และให้รางวัลแบบทันที 
  • มอบรางวัลที่สามารถนำไปแชร์บนโซเชียลมีเดียได้ 
  • สร้างเป้าหมายองค์กรที่เชื่อมโยงกับการสร้างคุณค่าทางสังคม (Social Impact) 
  • มอบหมายงานที่สั้น กระชับ ไม่น่าเบื่อ (Pomodoro Technique) 
  • ส่งเสริม Micro-learning หรือการเรียนรู้เล็กๆ น้อยๆ ตลอดเส้นทางการทำงาน 
  • ให้ Feedback ที่อ้างอิงจากข้อมูล ไม่ใช่แค่ความรู้สึก 
เสริมสร้างคุณภาพชีวิต สุขภาพจิต และให้พื้นที่ในการเติบโต 
  • ให้ความสำคัญกับ Wellness และ Mental Health เช่นการมีสวัสดิการด้านสุขภาพจิต 
  • จัดหาสภาพแวดล้อมและเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการทำงานแบบ Hybrid 
  • ช่วยให้พวกเขาสร้าง Digital Brand และ CV ที่แข็งแกร่งให้กับตัวเอง 
  • สร้าง Career Path ที่ชัดเจนและโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะ Gen Z เปลี่ยนงานบ่อยเป็นเรื่องปกติ จึงควรทำให้พวกเขามองเห็นพื้นที่ในการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรม 

และที่สุดแล้ว ผู้นำองค์กรก็ควรต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เปิดใจเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของแต่ละเจเนอเรชั่น เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตในยุคดิจิทัล และเป็น Digital First Company ได้ในที่สุด

21 พฤศจิกายน 2568

By Bluebik