Business & Technology

Cloud Computing ผู้ช่วยสำคัญในการบริหารค่าใช้จ่าย IT เมื่อเกิดสภาวะวิกฤต 

Cloud Computing สามารถช่วยบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดสภาวะวิกฤต ทำให้ธุรกิจมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการลงทุนแบบเดิม

11 มิถุนายน 2563

By Bluebik

2 Mins Read

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคร้ายได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไปทั่วโลก องค์กรธุรกิจต่างค้นหาแนวทางในการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและวิธีการทำงานแบบใหม่ เพื่อเป็นผู้อยู่รอดจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยส่วนใหญ่จะเน้นนโยบายในการดูแลต้นทุนและลดค่าใช้จ่าย ซึ่งปกติธุรกิจส่วนใหญ่จะมีรายจ่ายในการใช้เงินลงทุนครั้งใหญ่ (Big Investment) ที่ยังไม่สร้างผลกำไรในปัจจุบัน (Sunk Cost) หรือเป็นต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ที่ไม่สามารถปรับลดลงได้ 

อย่างไรก็ตาม ปกติธุรกิจขนาดใหญ่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายแบบ Big Investment หรือหากเลือกจ่ายเป็นรายเดือนก็ต้องดำเนินการแบบผ่อนชำระ นั่นหมายความว่า ค่าใช้จ่ายได้ถูกแปลงเป็นต้นทุนแบบ Fixed Cost อยู่ดี ซึ่งเมื่อองค์กรได้รับผลกระทบจากสภาวะวิกฤติ ทำให้ระบบ IT ที่ลงทุนไปอาจไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มที่ จึงทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น สิ่งที่ภาคธุรกิจควรทำ คือ แปลงค่าใช้จ่ายด้านระบบ IT ให้เป็น Variable Cost ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจและสามารถอยู่รอดได้ 

3 รูปแบบการประยุกต์ใช้ Cloud Computing 

ในช่วงสภาวะวิกฤตถือเป็นจังหวะและจุดเริ่มต้นที่ดีของภาคธุรกิจที่จะเริ่มมาใช้ “Cloud Computing” เพื่อลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเป็นของตนเอง (On-Premise) อีกทั้งช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลรักษาระบบ ที่สำคัญช่วยประหยัดเวลาและยังมีความยืดหยุ่นด้านค่าใช้จ่าย โดยปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้ Cloud Computing 3 รูปแบบ ได้แก่ 

1. การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและระบบจัดเก็บข้อมูล หรือทำหน้าที่แทน Server (Infrastructure-as-a-Service) หรือ IaaS 

2. การให้บริการด้านแพลตฟอร์มสำหรับซอฟต์แวร์ (Platform as a Service) หรือ PasS เช่น เว็บแอปพลิเคชัน (Web Application) ระบบประมวลผลกลางขององค์กรขนาดใหญ่ (Database Server) หรือระบบ API ซึ่งมีการรักษาความปลอดภัยสูง 

3. การให้บริการซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน (Software as a Service หรือ SaaS ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดค่าบริการตามลักษณะการใช้งาน (Pay-as-You-Go) เช่น จำนวนผู้ใช้ ปริมาณที่ใช้ ระยะเวลาที่ใช้ เช่น ผู้ให้บริการทางด้านซอฟต์แวร์ใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft 365, Google Suite 

4 ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยี Cloud Computing มาช่วยธุรกิจเมื่อเกิดสภาวะวิกฤต 

1. Cost Efficiency 

บริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์แบบเดิม ที่ปกติช่วงเริ่มต้นการใช้งานมีคนใช้บริการน้อย ทำให้ไม่เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) แต่ระบบ Cloud จะมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่ใช้งานจริง คือ ใช้แค่ไหนจ่ายเท่านั้น 

2. Shortened Time to Market 

เปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดได้เร็ว รวมทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบเอง เพราะธุรกิจบางประเภทที่จำเป็นต้องมีแอปพลิเคชัน แต่ช่วงเกิดสภาวะวิกฤต หากต้องมาพัฒนาเอง อาจทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันไม่ทันคู่แข่ง หรือทำให้เสียโอกาสในการทำธุรกิจไป 

3. Anywhere – Anytime เทคโนโลยี Cloud 

จะเอื้อความสะดวกต่อการทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา เนื่องจากระบบจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ดังนั้น เพียงแค่มีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ก็สามารถทำงานได้ อย่าง Work From Home ที่หลายบริษัทหันมาใช้บริการ Software as a Service (SaaS) จากผู้ให้บริการหลากหลายที่ เช่น Microsoft Team, Google Hangout 

4. Flexibility 

การใช้ Cloud ช่วยทำให้การทำงานมีความยืดหยุ่นขึ้น เพราะสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น ช่วงที่ต้องการรูปแบบ Scale Up ที่ต้องการขยายธุรกิจให้เติบโตเร็ว เมื่อเห็นโอกาสทองการทำรายได้ หรือ Scale Down ลง เมื่อต้องการใช้งานลดลง อย่างช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคร้ายก่อนหน้านี้ เทคโนโลยี Cloud Computing อาจไม่สามารถตอบโจทย์ทุกธุรกิจเนื่องจากธุรกิจแต่ละประเภทมีความแตกต่างและมีลักษณะเฉพาะ  

ฉะนั้น ผู้บริหารสูงสุดและผู้บริหารด้านเทคโนโลยี จำเป็นต้องทำงานควบคู่กัน เพื่อวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียในเชิงเศรษฐศาสตร์ว่า เทคโนโลยี Cloud จะสามารถเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้สูงสุดอย่างไร ที่สำคัญต้องทำให้เกิดความร่วมมือทั้งจากฝ่ายธุรกิจและ IT เพื่อออกแบบโครงการสร้างและสัดส่วนการใช้งานให้ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด รวมทั้งต้องผลักดันให้พนักงานทั้งองค์กรเข้าใจวิสัยทัศน์และการขับเคลื่อนขององค์กรในทิศทางเดียวกันว่า Cloud คือ ตัวแปรสำคัญที่จะเป็นตัวช่วยให้บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรได้ 

3 ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การใช้ Cloud Technology ในองค์กรได้สำเร็จ 

1. ประเมินขีดความสามารถด้านไอทีขององค์กร (Understand Your IT Capabilities) 

ก่อนนำเทคโนโลยี Cloud มาประยุกต์ใช้ ควรประเมินศักยภาพทางด้านระบบ IT ขององค์กรว่า มีความเหมาะสมจะใช้ Cloud หรือไม่ ถ้ามีระบบเก่า (On Premise) อยู่แล้วต้องคำนึงถึงเรื่องการโอนย้าย (Migration) ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ดังนั้นควรมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยวิเคราะห์และเปรียบเทียบระบบปัจจุบันกับระบบที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถออกแบบสถาปัตยกรรมด้านไอที (IT Architecture) ได้ตอบโจทย์ตามความต้องการ และรองรับกับการทำงานได้อย่างเหมาะสมที่สุด 

2. เลือกกลยุทธ์และวางแผนการ Migration ให้เหมาะกับองค์กร (Develop Migration Roadmap) 

การวางแผนเพื่อย้ายระบบและข้อมูลขึ้นไปบน Cloud สามารถเลือกให้มีการใช้ทั้ง Cloud จากผู้ให้บริการและ On Premise ใช้งานควบคู่กันไป (Hybrid Cloud) ในขณะเดียวกันการวางแผนเพื่อการโอนย้ายที่ดีนั้น ควรวางแผนให้สามารถย้ายระบบหรือ Application ต่าง ๆ จากผู้ให้บริการแต่ละรายได้อย่างอิสระ เพื่อลดปัญหาการพึ่งพา Vendor จากรายใดรายหนึ่ง 

3. ประยุกต์แนวคิดการทำงานแบบ Agile (Adapt Agile to Organization) 

การทำ Cloud Transformation ให้ประสบความสำเร็จนั้น จะต้องอาศัยการทำงานแบบ Agile เนื่องจากต้องการความรวดเร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลา เพื่อหาโครงสร้างที่เหมาะสมกับองค์กรที่สุด ดังนั้นบุคลากรในองค์กรควรมีความ Proactive และต้องพร้อมที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ 

อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่มีความสนใจหรือจะเริ่มต้นใช้ Cloud มาช่วยในการดำเนินธุรกิจนั้น อาจจะมีความยุ่งยากในการจัดการ เนื่องจากจะต้องมีการวิเคราะห์ เปรียบเทียบรูปแบบของการจัดเก็บข้อมูลหรือการดำเนินธุรกิจแบบเดิม รวมถึงขั้นตอนหรือความซับซ้อนในการย้ายข้อมูลที่มีอยู่เดิมไปไว้ที่ Cloud  

ดังนั้น การหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้มาเป็นผู้ช่วยมือหนึ่งก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี และน่าจะส่งผลให้กระบวนการทำงานเกิดประสิทธิภาพที่ดีกว่า เพราะทำให้ไม่ต้องมาลงรายละเอียดในการบริหารจัดการเอง ที่สำคัญทำให้ธุรกิจได้มุ่งเน้นไปยังการวางแผนปรับกลยุทธ์ในการตั้งรับกับการหารายได้หลัก รวมทั้งการฝ่าฟันกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังจะเกิดขึ้น 

สำหรับธุรกิจที่สนใจ Cloud Technology เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตให้องค์กร บลูบิค (Bluebik) ในฐานะที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Excellence & Delivery ที่สามารถให้บริการโซลูชันครบวงจร และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ตั้งแต่ระดับกลยุทธ์ไปจนถึงการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาได้ที่ [email protected] หรือโทรศัพท์ 02-636-7011 

11 มิถุนายน 2563

By Bluebik