
ปัจจุบัน “ข้อมูล” ถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของทุกธุรกิจ พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้องค์กรสามารถจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลในระบบดิจิทัลหรือบนคลาวด์ได้สะดวกยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ข้อมูลตกอยู่ในความเสี่ยงจากการถูกโจมตีและการรั่วไหลมากยิ่งขึ้น
คำถามที่ตามมาคือ — องค์กรจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้อมูลที่เก็บไว้บนระบบดิจิทัลนั้น “ปลอดภัยมากพอ”?
ยิ่งมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act: PDPA) เพื่อยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้เทียบเท่ากับมาตรฐานสากล ยิ่งกดดันให้องค์กรธุรกิจให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการข้อมูลอย่างรอบด้าน
ดังนั้น ก่อนที่องค์กรจะเริ่มต้นวางมาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจก่อนว่า “PDPA คืออะไร” และกฎหมายนี้มีผลต่อการดำเนินธุรกิจอย่างไรบ้าง
PDPA คืออะไร
PDPA ย่อมาจาก Personal Data Protection Act เป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ของทั้ง “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” (Data Controller) และ “เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” (Data Subject) ในประเทศไทย เพื่อให้การเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เพียงพอ
ภายใต้กฎหมายนี้ ธุรกิจและองค์กรต้องมีมาตรการด้านเทคนิคและการบริหารจัดการข้อมูลอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงต้องรับผิดชอบต่อเหตุละเมิดข้อมูลที่เกิดขึ้นจากความบกพร่องของตนเองด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง PDPA ไม่ได้เป็นเพียง “กฎหมายบังคับ” แต่เป็น “มาตรฐานความรับผิดชอบขององค์กร” ที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความปลอดภัยที่ธุรกิจมีต่อข้อมูลของลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
หากไม่ปฏิบัติตาม PDPA จะเกิดอะไรขึ้น
หากองค์กรไม่ปฏิบัติตาม PDPA หรือปล่อยให้เกิดเหตุข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล อาจต้องเผชิญกับบทลงโทษทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครอง โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ทางแพ่ง: ต้องชดใช้ค่าเสียหายตามจริง และอาจถูกเรียกค่าสินไหมทดแทนสูงสุดถึงสองเท่าของค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
- ทางอาญา: จำคุกสูงสุด 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ทางปกครอง: ปรับตั้งแต่ 1,000,000 – 5,000,000 บาท แล้วแต่ลักษณะความผิด
หนึ่งในกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คือ บริษัทเอกชนรายใหญ่ที่ไม่มีมาตรการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (Access Control) และการกำหนดสิทธิ์การใช้งาน (Authorization) ที่ชัดเจน ส่งผลให้ข้อมูลลูกค้ารั่วไหลออกสู่ภายนอก และถูกนำไปใช้โดยมิชอบ จนถูกปรับเป็นจำนวนเงินกว่า 7 ล้านบาท
คดีนี้ถือเป็นหนึ่งในคดีแรก ๆ ที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเอาผิดบริษัทเอกชนในข้อหาละเมิดกฎหมาย PDPA สะท้อนให้เห็นว่า “การละเลยมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กรเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบทางการเงินอย่างรุนแรง
แล้ว Cybersecurity เกี่ยวข้องกับ PDPA อย่างไร

เมื่อการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอาจนำมาซึ่งความเสียหายทั้งทางกฎหมายและชื่อเสียงขององค์กร การมีระบบความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่แข็งแกร่ง ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ได้อย่างครบถ้วนและยั่งยืน
องค์กรลงทุนในระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและรองรับการเติบโตทางธุรกิจ แต่หากขาดการวางแผนด้าน Cybersecurity ตั้งแต่ต้น อาจทำให้ข้อมูลตกอยู่ในความเสี่ยง
ด้วยเหตุนี้ Cybersecurity จึงมีบทบาทสำคัญต่อการปฏิบัติตาม PDPA ผ่านกระบวนการสำคัญต่าง ๆ ได้แก่
- การประเมินสภาวะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Assessment): ตรวจสอบช่องโหว่และความเสี่ยงในโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยขององค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าการเก็บและใช้ข้อมูลเป็นไปตามมาตรฐานสากล
- การวางแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์โจมตี (Incident Response Plan): กำหนดบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย เพื่อให้การรับมือกับเหตุละเมิดข้อมูลเป็นไปอย่างมีระบบและประสิทธิภาพ
- การฝึกอบรมและสร้างความตระหนักรู้แก่พนักงาน (Security Awareness Training): ส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ปลอดภัยในการจัดการข้อมูล ลดโอกาสการเกิดเหตุละเมิดข้อมูลจากความประมาทหรือความเข้าใจผิดของบุคลากรภายใน
- การจัดการและแจ้งเตือนเหตุละเมิดข้อมูล (Data Breach Notification Process): กำหนดขั้นตอนและกระบวนการแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุละเมิดข้อมูล เพื่อให้สามารถตอบสนองได้อย่างทันท่วงทีและเป็นไปตามข้อกำหนดของ PDPA
สรุปแล้ว การวางระบบ Cybersecurity ที่ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการ คน และเทคโนโลยี เป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตาม PDPA เกิดขึ้นจริงในทุกระดับขององค์กร
ทำไมองค์กรควรลงทุนใน Cybersecurity
การลงทุนใน Cybersecurity ไม่เพียงช่วยให้องค์กรปฏิบัติตาม PDPA ได้อย่างครบถ้วน แต่ยังเป็นการสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ” ที่ช่วยลดความเสี่ยงและปกป้องชื่อเสียงขององค์กรในระยะยาว

กล่าวได้ว่า Cybersecurity ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพราะกฎหมายบังคับ แต่คือ “การลงทุนที่ช่วยปกป้องอนาคตขององค์กร” — ทั้งในมุมความปลอดภัยทางข้อมูล ความต่อเนื่องของธุรกิจ และความเชื่อมั่นในแบรนด์อีกด้วย
หากองค์กรปฏิบัติตาม PDPA แต่ไม่มีแผนงานด้าน Cybersecurity ที่ดีพอ จะนำไปสู่ความเสี่ยงด้านใดบ้าง

แม้การปฏิบัติตาม PDPA จะช่วยให้การจัดเก็บและใช้ข้อมูลเป็นไปตามกฎหมาย แต่ถ้าองค์กรไม่มีแผนงานด้าน Cybersecurity ที่มีประสิทธิภาพดีพอ ความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์และการละเมิดข้อมูลจะยังคงอยู่ — และอาจส่งผลกระทบรุนแรงในหลายมิติ ดังนี้
- ความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์และการละเมิดข้อมูล: การขาดมาตรการป้องกันที่แข็งแรงทำให้องค์กรตกเป็นเป้าหมายของภัยไซเบอร์ได้ง่าย เช่น การโจรกรรมข้อมูล การติดมัลแวร์ หรือการโจมตีแบบแรนซัมแวร์ ซึ่งอาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลสำคัญและความเสียหายต่อระบบหลักขององค์กร
- ค่าใช้จ่ายสูงจากการกู้คืนและการหยุดชะงักของธุรกิจ: เมื่อเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจมตี องค์กรต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการกู้คืนระบบ ตรวจสอบสาเหตุ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ โดยส่วนใหญ่ทำให้การดำเนินงานหยุดชะงัก สูญเสียรายได้ และกระทบต่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ
- ความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของลูกค้า: ข้อมูลส่วนบุคคลที่รั่วไหลมักทำลายความไว้วางใจที่พันธมิตรทางธุรกิจและลูกค้ามีต่อองค์กร เหตุการณ์เพียงครั้งเดียวอาจทำให้แบรนด์สูญเสียความน่าเชื่อถือและโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว
- สูญเสียโอกาสในการเติบโตและการร่วมงานกับพันธมิตรใหม่ ๆ: องค์กรที่เคยประสบเหตุด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล อาจถูกตัดสิทธิ์จากการร่วมงานกับบริษัทที่มีมาตรฐานด้าน Cybersecurity สูง หรือเสียโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ
โดยสรุปแล้ว PDPA ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ในขณะที่ Cybersecurity คือรากฐานของความมั่นคงปลอดภัยอย่างยั่งยืนในโลกดิจิทัล
ปลอดภัยไปกับ บลูบิค ไททันส์ – ให้ทุกการลงทุนด้าน Cybersecurity คุ้มค่าและตรงจุด
การเริ่มต้นอย่างถูกต้องด้วยการตรวจสุขภาพทางไซเบอร์ขององค์กร (Cyber Health Check) เพราะการลงทุนด้าน Cybersecurity ที่ไม่มีแผนรองรับ อาจทำให้สิ้นเปลืองทั้งเวลาและงบประมาณโดยไม่เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริง
บลูบิค ไททันส์ พร้อมช่วยประเมิน “สุขภาพทางไซเบอร์” ขององค์กรอย่างครบวงจรก่อนการลงทุน เพื่อให้คุณวางแผนได้แม่นยำ ประหยัดงบประมาณ พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญสำหรับการวางรากฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน
เสริมความพร้อมด้วยโปรแกรมจำลองสถานการณ์ไซเบอร์เสมือนจริง (Cyber Drill Program) เพราะการเตรียมพร้อมคือหัวใจของการป้องกันภัยไซเบอร์ โดย Bluebik Titans จึงออกแบบโปรแกรมจำลองสถานการณ์จริง (Cyber Drill) ที่เหมาะสมกับบทบาทของพนักงานแต่ละฝ่าย เพื่อยกระดับทักษะและความมั่นใจในการรับมือกับภัยไซเบอร์อย่างมืออาชีพ