Business & Technology

CTO จะเพิ่ม IT Capability อย่างไรให้ทันกระแส Digital Disruption 

IT Capability คือ ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี ซึ่งมักถูกใช้เป็นหนึ่งในมาตรวัดว่า องค์กรมีความสามารถด้านไหนและอยู่ระดับใด

3 กุมภาพันธ์ 2563

By Bluebik

2 Mins Read

คงเคยได้ยินกันมานานแล้วว่า Digital Disruption จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับทุก ๆอุตสาหกรรม หากธุรกิจใดรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไม่ทันอาจส่งผลเสียได้ ฉะนั้น หลายต่อหลายองค์กรต่างเร่งทำ Digital Transformation เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ให้ทันเวลาก่อนที่จะล้มหายตายจากไป 

แม้ทุกองค์กรจะรู้ตัวว่า ต้องปรับเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง แต่ใช่ว่าทุกที่จะสามารถปรับตัวได้เร็วเท่ากัน เนื่องจากข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป หนึ่งในนั้น คือ ช่องว่างเกี่ยวกับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี (IT Capability) ขององค์กร ส่วนมากมักเกิดจากการที่องค์กรไม่คาดการณ์มาก่อนว่า ขีดความสามารถด้าน IT จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการแข่งขันยุคนี้ สำหรับองค์กรที่ไม่ได้ทำการวางแผนพัฒนาขีดความสามารถด้าน IT ที่จำเป็นต่อการปรับตัวไว้ล่วงหน้า จึงควรรีบอุดช่องว่างนี้ให้เร็วที่สุด 

IT Capability คืออะไร ทำไมถึงมีความสำคัญต่อองค์กรในปัจจุบัน 

เมื่อเราต้องการวัดว่า องค์กรของเรามีความสามารถด้านไหนและอยู่ระดับใด ก็มักจะพูดถึง IT Capability หรือขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี เป็นหนึ่งในมาตรวัด แต่การวัดความสามารถด้าน IT ว่า สามารถตอบโจทย์ธุรกิจของแต่ละองค์กรได้หรือไม่ ต้องมองในแง่ Cost-Effectiveness เป็นหลัก ซึ่งมีหลายองค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ การวางกลยุทธ์ กระบวนการทำงาน พนักงาน หรือแม้กระทั่งระบบโครงสร้างพื้นฐาน ล้วนต้องไปในทิศทางเดียวกับที่ธุรกิจกำลังมุ่งหน้าไปทั้งหมด 

เห็นได้ว่า ขีดความสามารถด้าน IT ขององค์กร สามารถเป็นทั้ง “ตัวเร่ง” หรือ “อุปสรรค” ที่กำหนดความเร็วและความยืดหยุ่นในการปรับตัวขององค์กร ดังนั้น หากองค์กรไม่พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับความท้าทายและวางกลยุทธ์ เพื่อแก้ไขในการบริหารจัดการขีดความสามารถด้าน IT อาจทำให้การปรับตัวต้องสะดุด และส่งผลให้แพ้การแข่งขันในยุคปลาเร็วกินปลาช้าได้ 

ปัญหาที่ทำให้ IT กลายเป็นอุปสรรคต่อการเดินเกมทางธุรกิจ 

เมื่อผู้บริหารรู้สึกว่า IT เริ่มเดินช้ากว่าความต้องการของธุรกิจ ให้ลองลงมาคลุกคลีกับฝั่งบ้าน IT และค้นดูว่า มีปัญหาข้อใดข้อหนึ่งจากรายการด้านล่างนี้หรือไม่ เช่น 

  • ปัญหาการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ ที่ขัดแย้งกันเองระหว่างส่วนงานต่าง ๆ 
  • ปัญหาการลงทุนระบบ IT ที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ 
  • ปัญหาการสรรหาและรักษาบุคลากรด้าน IT ที่มีศักยภาพให้อยู่กับองค์กร 
  • ปัญหาการแยกชั้นระหว่าง IT และ Business ในด้านความรู้ความเข้าใจของงานแต่ละฝ่าย 

องค์กรอาจพบปัญหาเฉพาะด้านที่ไม่ได้อยู่ในรายการข้างต้นอีกหลายข้อ แต่ปัญหาที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นปัญหาที่บริษัททั่วโลกกว่า 60% เผชิญอยู่ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การดำเนินงานสะดุด ล่าช้า ส่งผลให้ไม่สามารถพัฒนาองค์กรท่ามกลางกระแสดิสรัปชันได้ทัน 

อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้มีทางออก หาก Chief Technology Officer (CTO) หรือ Chief Information Officer (CIO) และฝ่าย IT เริ่มลงมือที่จะปรับตัวร่วมกัน โดยพยายามปรับกระบวนการทำงานแบบเดิม ๆ ภายในองค์กรควบคู่ไปกับการเลือกรูปแบบของการพัฒนาขีดความสามารถด้าน IT ที่เหมาะสมกับแต่ละด้าน เพื่อช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างตรงจุดมากขึ้น

2 แนวทางแก้ไขปัญหา IT Capability ในยุค Digital Disruption 

ด้านแรก เริ่มแก้ปัญหาที่ “Mindset” และการทำงานในองค์กร ด้วยสมการใหม่ “Digital = Business + IT” 

[H4] ปรับ Mindset เพื่อสร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในองค์กร 

ฝ่าย Business และ IT ควรทำงานร่วมกัน และปรับตัวเพิ่มความรู้ความเข้าใจในอีกฝ่ายให้มากขึ้น และเริ่มเก็บข้อมูลจากการทดลองมากขึ้น โดยมองว่าโครงการต่าง ๆ เปรียบเสมือนโครงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่มีกระบวนการเก็บข้อมูลและวัดผลร่วมกัน เพื่อทำความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว 

ลดช่องว่างการทำงานด้วย Digital Roadmap 

CTO/CIO ควรจัดดิจิทัลโรดแมปร่วมกับฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เพื่อให้เห็นภาพรวมขององค์กร ทั้งในมิติของทิศทาง ขีดความสามารถ รวมถึงเทคโนโลยีที่จะใช้ พร้อมลงรายละเอียดของโครงการอย่างชัดเจน ทั้งจุดประสงค์ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และงบประมาณที่ต้องใช้ 

นอกจากนี้ ยังควรมีการประเมินกลยุทธ์ และดิจิทัลโรดแมปร่วมกับฝ่าย Business อยู่เป็นระยะ ๆ ว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่น่าสนใจ ที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับโมเดลทางธุรกิจใหม่ ๆ ได้ หรือมีเครื่องมือใดบ้างที่จะสามารถเร่งความเร็วในการพัฒนาระบบดิจิทัล เพื่อลดค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) เพื่อนำไปสู่ทั้งเป้าหมายทั้งฝั่ง IT และเป้าหมายฝั่ง Business ซึ่งโรดแมปดังกล่าว จะสามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เจอระหว่างดำเนินการเป็นระยะ ๆ ได้ 

บริหารจัดการภายใต้กระบวนการเดียวกัน 

CTO/CIO ต้องนำ “Demand Management” เข้ามาเป็นเครื่องมือจัดลำดับความสำคัญร่วมกับฝั่ง Business ให้เห็นเป็นภาพใหญ่ร่วมกัน เพื่อสามารถบริหารจัดการความต้องการด้าน Business ให้สอดคล้องกับทรัพยากรด้าน IT ด้วยระยะเวลาในการดำเนินงานอย่างลงตัว โดยเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทำความเข้าใจร่วมกัน ประชุมและตัดสินใจร่วมกันในการจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่ IT จะต้องดำเนินการทั้งหมด เพื่อให้ภาพรวมองบริษัทไปในทิศทางเดียวกัน และสอดคล้องกับการลำดับความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ ภายในบริษัทขณะนั้น 

ให้กระบวนการ “Agile Discovery and Delivery” เป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการ Innovation ขององค์กร 

ในกรณีที่บางองค์กรกำลังพัฒนาแพลตฟอร์มหรือโซลูชันด้านดิจิทัลใหม่ ๆ ขึ้นมา ลองหันมาทำความเข้าใจและพิจารณาเลือกใช้กระบวนการทำงานแบบ Agile ในการค้นหา และทดสอบความต้องการใหม่ ๆของลูกค้า โดยส่งมอบงานเป็นรอบ ๆ ที่ใช้ระยะเวลาสั้นลง ทำให้สามารถทดลองและเก็บคำติชมจากลูกค้าหรือตลาดได้เร็ว ถึงแม้จะไม่ได้มีการการันตีว่า จะประสบความสำเร็จเสมอไป แต่ธุรกิจจะสามารถนำ Feedback จากการทดลองกลับมาปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจได้เร็ว เหมือนดั่งที่ Startup พูดกันว่า Fail Fast, Fail Cheap and Fail Forward 

ด้านที่สอง เลือกใช้ Model ในการพัฒนาขีดความสามารถให้เหมาะสม เพื่อเข้าใกล้ความสำเร็จได้เร็ว และมีประสิทธิภาพกว่าคู่แข่ง 

ปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่มีทางเลือกในการพัฒนาอยู่ 3 ทางคือ การสร้างเอง (Build) การซื้อระบบหรือ Solution แบบสำเร็จรูปมาใช้งาน (Buy) ตลอดจนการร่วมมือพัฒนาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในแต่ละเรื่อง (Partner) 

ฉะนั้น บทบาทของ CTO/CIO และฝ่าย IT ยุคใหม่ จึงต้องรู้จักเลือกใช้โมเดลที่สามารถสร้างความคล่องตัวให้กับธุรกิจในภาพรวมให้ได้มากที่สุด โดยไม่ทิ้งประเด็นความคุ้มค่าในระยะยาว เช่น เมื่อ CTO/CIO รู้แล้วว่า การสร้างและดูแลระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มหนึ่งขององค์กร เป็นขีดความสามารถที่ต้องสร้างด้วยทรัพยากรภายในจึงจะดีต่อธุรกิจในระยะยาว แต่เมื่อประเมินความสามารถของทีมภายในแล้ว ยังไม่พร้อมที่จะดูแลระบบขนาดใหญ่และซับซ้อน อาจเลือกใช้รูปแบบ Buy หรือ Partner กับผู้เชี่ยวชาญในระบบนั้น ๆ เป็นแผนระยะสั้นไปก่อน พร้อมกับการสร้างขีดความสามารถของบุคลากรภายใน สำหรับช่วงระยะเวลา 1-2 ปี 

อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกับ Partner ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กำลังเป็นโมเดลที่องค์กรส่วนใหญ่เลือกใช้ และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน เนื่องจากมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการบริหารจัดการ และมีประสิทธิภาพกว่าการทำกันเองในองค์กร โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยในเรื่อง Time to Market หรือระยะเวลาที่เหมาะสมเข้ามาประกอบ ตัวเลือกด้านการหา Partner จะช่วยลดความเสี่ยงและระยะเวลาในการส่งมอบได้เป็นอย่างดี 

ตัวอย่างเช่น กรณีที่บริษัทต้องการดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบหลักขององค์กร (Core System) ที่จำเป็นต้องมีผู้ให้บริการหลายรายเข้ามาเกี่ยวข้อง หากบุคลากรภายในไม่ค่อยได้มีโอกาสในการบริหารจัดการโครงการที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมาก จะมีโอกาสล้มเหลวสูงกว่าการใช้ Partner ที่เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยบริหารจัดการโครงการ  

รวมถึงกรณีที่บริษัทอยากพัฒนาโมบายแอพพลิเคชัน หรือเว็บแอพพลิเคชันของตัวเอง โดยต้องการให้เกิด Impact มาก และตอบโจทย์การใช้งานที่ง่าย ในกรณีนี้จำเป็นต้องอาศัยทักษะของนักออกแบบหรือนักวิจัยประสบการณ์ผู้ใช้ (UX Designer หรือ UX Researcher) ซึ่งการร่วมมือกับ Partner ที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้โดยเฉพาะ จะช่วยบรรลุเป้าหมายได้ดีกว่า และเร็วกว่าองค์กรที่พยายามหาบุคลากรที่เหมาะสม 

สุดท้ายนี้ เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ความสำเร็จของธุรกิจในยุคดิจิทัลมีส่วนของเทคโนโลยีเป็นเหมือนกระดูกสันหลัง ดังนั้น การบริหารงานที่สมดุล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างฝ่าย Business และฝ่าย IT และความรวดเร็วในการส่งมอบ จึงเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ช่วยปลดล็อกประตูสู่ความสำเร็จในการพัฒนาธุรกิจท่ามกลางคลื่น Digital Disruption ที่รุนแรงเกินกว่าจะต้านอยู่ด้วยตัวคนเดียว 

สำหรับธุรกิจที่ต้องการวางกลยุทธ์ด้าน IT Capability เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตให้องค์กร บลูบิค (Bluebik) ในฐานะที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Excellence & Delivery ที่สามารถให้บริการโซลูชันครบวงจร และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ตั้งแต่ระดับกลยุทธ์ไปจนถึงการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาได้ที่ [email protected] หรือโทรศัพท์ 02-636-7011 

3 กุมภาพันธ์ 2563

By Bluebik