Marketing Transformation (MT) คืออะไร
การเปลี่ยนแปลงกระบวนการตลาดตั้งแต่โมเดลจนถึงการสื่อสาร โดยนำเอากระบวนการคิด เทคโนโลยี การวิเคราะห์ข้อมูล มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาด และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก
- Re-Model: การปรับโมเดลและกระบวนการทำการตลาด
- Re-Structure: การปรับโครงสร้างและจัดสรรทรัพยากรการตลาด
- Re-Engineer: การปรับการดำเนินการทางการตลาดและเครื่องมือที่ใช้
โดยการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องของการเอาดิจิทัลมาใช้ เปลี่ยนแปลงเรื่องของ capability ของคนทำงานด้านมาเก็ตติ้ง รวมไปถึงเปลี่ยนแปลงวิธีการคิด กระบวนการทำการตลาดในยุคสมัยใหม่
เทรนด์ Marketing ของธุรกิจจะเป็นอย่างไร และ Marketing Transformation จะไปอยู่ตรงจุดไหนของเทรนด์เหล่านั้น
ในยุค Digital Disruption นักการตลาดจำเป็นต้องมี Digital Mindset ประกอบการใช้ Technology และ Data มาประยุกต์ใช้กับการทำการตลาดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ การทำการสื่อสาร การใช้เดต้ามาดูแลลูกค้า ผนวกเข้ากับความเข้าใจคน ความมี Empathy กับคนมากกว่าที่เคย
Marketing Transformation จึงจำเป็นและมีบทบาทอย่างมากในการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของทีมการตลาดให้สอดคล้องกับ Digital Environment ใหม่ๆ และจำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วน
เนื่องด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนแปลงไป และเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจคนมากขึ้นจากดาต้า จากสิ่งที่เราสามารถไปเก็บข้อมูลมาจากผู้บริโภคได้ เลยทำให้การตลาดจะวิ่งเข้าสู่จุดที่เราสามารถใช้เทคโนโลยีหรือข้อมูลต่าง ๆ สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการทำการตลาด เพื่อที่จะเข้าใจและเข้าถึงมนุษย์หรือเข้าถึงลูกค้าได้ดีขึ้นกว่าเดิม
ไม่ต้องทำ Full-scale Transformation เลือกทำแค่ Marketing Transformation ได้มั้ย
ต้องบอกว่า เวลาทำ Structure ของ Strategy ก็จะตั้งต้นจาก Corporate Strategy ซึ่งพอเริ่มจากตรงนี้ ที่ MC ทำ จะไล่มาแต่ละฟังก์ชัน ตั้งแต่ Organization, HR, Finance, Product รวมถึง Mkt Strategy นั่นคือการทำงานของ Structure Strategy เพราะฉะนั้น Marketing เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจในภาพรวม
แล้วถ้าอยากจะทำ Transformation ต้องประเมินก่อนว่า Core Driver ขององค์กรอยู่ที่ทีมไหน ถ้ามองว่า Marketing คือ Core Driver และเราสามารถทรานส์ฟอร์มบางอย่างได้ เช่น ระบบการดูแลลูกค้า ค่อยลงทุนกับตรงนั้น
Marketing Transformation จำเป็นกับธุรกิจมากแค่ไหน องค์กรแบบไหนที่ควรทำ
ต้องบอกว่าองค์กรเองก็มีหลายรูปแบบ แน่นอนว่าการทำ Marketing Transformation เหมาะกับองค์กรที่การทำการตลาดคือกลไลหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโต (Core Growth Driver) โดยบางองค์กรอาจไม่มี Chief Marketing Officer เพราะการตลาดอาจจะไม่ใช่ส่วนที่จำเป็น เช่น องค์กรแบบ B2B ต้องดูแลเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้า เน้นเรื่องการขายเซอร์วิส แต่กับองค์กรที่เป็น Marketing-driven มองว่าการสร้างแบรนด์ มูลค่าของแบรนด์มีผลกระทบต่อธุรกิจ ก็ย่อมต้องทำ Marketing Transformation
แล้ว Marketing Transformation สร้างความแตกต่างจากธุรกิจได้มากแค่ไหน
แน่นอนว่าแตกต่างมากอยู่แล้ว เพราะถ้าสามารถทรานส์ฟอร์มการทำการตลาดได้ดี มีองค์ประกอบเรื่องการจัดการข้อมูลเพื่อเข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
- Create Long-term Competitive Advantage: สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เพิ่มความสามารถในการตอบสนองผู้บริโภคและสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์
- Seamless Experience: สร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับผู้บริโภคและแบรนด์ ด้วยการบริการ การสื่อสาร และการส่งมอบคุณค่า
- Generate Business Profitability: ช่วยเพิ่มยอดขายและเพิ่มกำไร จากประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดสรรทรัพยากรทางการตลาด และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำการตลาด
Marketing Strategy VS Marketing Transformation
Marketing Transformation คือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการตลาดตั้งแต่โมเดลการตลาดจนถึงกระบวนการสื่อสาร เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพ
ส่วน Marketing Strategy เป็นวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจด้วยการสร้างและส่งมอบคุณค่าของแบรนด์หรือสินค้าไปสู่ผู้บริโภค
ความน่าสนใจของงาน Marketing Transformation
แน่นอนว่าเหมาะกับคนที่รักในเรื่องของการตลาด เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วทีม Marketing จะทำงานโดยตรงกับผู้บริโภค การทำงานโดยตรงกับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปของคน เราอยู่กับเรื่องของพฤติกรรมของมนุษย์เราอยู่กับเรื่องของการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และการทำ Branding ถ้าคุณสนใจในเรื่องของการสร้างแบรนด์ การทำแบรนด์ การพัฒนาเรื่องการตลาด และการตอบสนองผู้บริโภคเพื่อสร้างผลงานที่มีคุณค่าต่อผู้บริโภค ก็เป็นเรื่องที่ตอบโจทย์มาก ๆ
ถ้าอยากทำงาน Marketing Transformation ควรมี Mindset กับ Skill set แบบไหน
แน่นอนว่าเราต้องมีเรื่อง Consumer Centric เป็นอันดับหนึ่ง เพราะจริงๆ แล้วนักการตลาดไม่ได้ทำงานให้ลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่เจ้านายที่ใหญ่ที่สุดคือลูกค้าหรือผู้บริโภค เพราะฉะนั้นควรมี mindset แบบนักกลยุทธ์คือเป็นคนช่างสังเกต ต้องมีทั้งทักษะการคิดวิเคราะห์ (Analytic Skil) และทักษะการทำความเข้าใจผู้อื่น (Empathy Skill) และทักษะการคิดแบบมีเหตุมีผล (Critical Thinking) สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ว่าคนต้องการอะไร สามารถอ่านคนได้ มีศิลปะในการตีความข้อมูล
แตกต่างจาก Marketing แบบเดิมยังไง
แตกต่างแน่นอน เพราะต้องมีความรู้และสนใจเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงต้องสนุกกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เห็น Dynamic เห็น Vibe ตื่นเต้นกับการได้เจอสิ่งใหม่ๆ ที่อาจจะสร้างเป็น Next Big Thing ของการตลาดได้ เช่น วันนี้เรามีเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้คนไม่ต้องเดินทางมาที่หน้าร้าน และสามารถเข้าถึงสินค้าได้ทุกที่ มีโมเดลที่รองรับการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองคนแต่ละคนได้ วันนี้เราไม่ต้องไปลองเฉดสีที่ร้าน แค่อยู่บ้านก็สามารถเลือกเฉดสีลิปสติก เฉดสีรองพื้น หรือว่าเสื้อผ้าการแต่งกายที่เหมาะกับเรา แล้วถ้าไม่ชอบก็สามารถส่งคืนได้ในระบบโลจิสติกส์ ทุกอย่างเปิดกว้างมาก