บลูบิค สรุป 7 Tech Capabilities ที่องค์กรต้องมีปี 67 รับมือความเปลี่ยนแปลง-เพิ่มความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ ปูทางสู่การเป็น Digital-First Company เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน
บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร เปิด 7 เทรนด์ Tech Capabilities หรือ ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสำหรับองค์กรทั่วโลกที่ต้องเริ่มประยุกต์ใช้ปี 2567 เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือปัจจัยลบและความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ได้แก่ 1) ธุรกิจไร้พรมแดนที่นำมาซึ่งโอกาส ความเสี่ยงและการแข่งขันที่รุนแรงใน Digital Landscape 2) ไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมการใช้จ่ายที่แตกต่างกันของผู้บริโภคแต่ละช่วงวัย 3) การทำงานแบบ Gig Worker ที่รับค่าตอบแทนตามจำนวนงานที่ทำ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเศรษฐกิจ แรงกดดันด้าน Environmental, Social and Corporate Governance – ESG และความเสี่ยงจากเทคโนโลยี อาทิ จริยธรรมของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) และภัยคุกคามไซเบอร์ ที่กำลังกดดันให้องค์กรต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถของตนเอง ด้วยการพัฒนาและใช้นวัตกรรมในกระบวนการดำเนินงาน ยกระดับเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุค Digital-First World ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะมีอิทธิพลต่อการทำธุรกิจและดำเนินชีวิตของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การพึ่งพาเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม การปรับกระบวนการดำเนินงานเพิ่มความยืดหยุ่นมุ่งเน้นประสิทธิผล และลดความเสี่ยงในธุรกิจ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ภาพรวมของ Technology Landscape ยังคงพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งผ่านการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านคาดการณ์ของ Gartner ที่ระบุว่าเม็ดเงินลงทุนด้านเทคโนโลยีทั่วโลกจะแตะ US$5.1 ล้านล้านในปี 2567 เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2566
“อิทธิพลของเทคโนโลยีและนวัตกรรมกำลังขยายวงกว้างจากระดับธุรกิจไปสู่วิถีชีวิตของผู้คนทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจยุค Digital-First World ยกตัวอย่างเช่น Generative AI ที่กำลังเป็นสร้างการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงาน เครื่องมือ (Tools) ใหม่ ๆ ที่เข้ามายกระดับประสบการณ์ใช้งานและรองรับการเชื่อมต่อ Digital Ecosystem ของ Super App นอกจากนี้ยังมีภัยคุกคามไซเบอร์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและสร้างความเสียหายต่อธุรกิจและบุคคลทั่วไป มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้องค์กรยุคใหม่ที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน จึงจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจให้สอดรับกับสถานการณ์ มีความยืดหยุ่นสูงเพื่อรองรับเทรนด์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว” นายพชรกล่าว
โดย ‘บลูบิค’ ได้สรุป 7 Tech Capabilities สำคัญประจำปี 2567 ที่จะช่วยยกเครื่องการทำธุรกิจโดยแบ่งออกเป็น 4 แกนหลัก เพื่อให้องค์กรสามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมช่วงชิงโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงการวางรากฐานการเติบโตตามหลักความยั่งยืน ESG ที่จะเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว ดังต่อไปนี้
แกนที่ 1 Augmented Intelligence
เป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจแห่งอนาคต ภายใต้แนวคิดการผสานพลัง AI และ มนุษย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้แก่กัน โดยขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสำคัญที่จะเข้ามาสนับสนุนแนวคิดนี้ คือ
- Democratization of Generative AI (Gen AI): การเข้าถึงเทคโนโลยี Gen AI ในวงกว้างจะช่วยสร้างโอกาสในแง่มุมต่าง ๆ ให้ธุรกิจ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้เร็วมากขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การลดงานซ้ำซากและยกระดับการเข้าถึงลูกค้าผ่านการหา Customer Insights ด้วย AI เพื่อสร้างคอนเทนต์สำหรับลูกค้าเฉพาะราย นอกจากนี้ Gen AI ยังจะก่อให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ทำให้เกิดธุรกิจสตาร์ตอัพใหม่ ๆ ที่อาจเข้ามาดิสรัปฯธุรกิจรูปแบบดั้งเดิม และองค์กรที่ไม่ได้ใช้ Gen AI จะถูกคู่แข่งที่ใช้งานทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ
แกนที่ 2 Digital Ecosystem
การสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เชื่อมต่อหลายระบบและบริการเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้า สามารถใช้งานได้หลากหลายผ่านช่องทางเดียว ซึ่งการสร้าง Digital Ecosystem อาทิ Super App ให้สามารถรองรับการเติบโตในอนาคต ต้องให้ความสำคัญกับขีดความสามารถดังต่อไปนี้
- Multiexperience (MX): เป็นการสร้างประสบการณ์ใช้บริการ/ซื้อสินค้าอย่างราบรื่นให้แก่ลูกค้า ครอบคลุมทุกจุดสัมผัสบนช่องทางดิจิทัล (Digital Touchpoints) และการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม เช่น เว็บไซต์, Super App, Augmented Reality (AR), Virtual Reality (VR) และอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) เป็นต้น อีกทั้งการบรรลุวัตถุประสงค์การทำดิจิทัลทรานฟอร์เมชันจำเป็นต้องเข้าใจและรู้จักใช้ประโยชน์จาก MX เพื่อนำไปใช้ออกแบบประสบการณ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในทุกมิติและสร้างสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าและพนักงาน
- Event-Driven Nano Architecture (EDNA): เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ประกอบด้วยนาโนเซอร์วิส (Nanoservices) ที่แยกออกจากกัน ซึ่ง EDNA มีจุดเด่นที่ความยืดหยุ่น สามารถพัฒนาบริการในแต่ละส่วนงานระดับนาโน รวมถึงปรับเพิ่มและลดขนาดการใช้ทรัพยากรได้อย่างอิสระกว่า Microservice ของ Event-Driven Architecture (EDA) และไม่กระทบบริการอื่นหากบางเซอร์วิสมีปัญหา อีกทั้งยังลดความซับซ้อนในขั้นตอนการทำงานและต้นทุน ด้วยเหตุนี้ EDNA จึงเป็นขีดความสามารถสำคัญในการสร้าง Digital Ecosystem ที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการทางธุรกิจได้ทุกแง่มุม
แกนที่ 3 Digital Immunity and Trust
เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร รับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขีดความสามารถที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์องค์กรยุคใหม่ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ได้แก่:
- Generative Cybersecurity AI: เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้งาน Generative AI เช่น การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลรั่วไหลและช่องโหว่การโจมตี เป็นต้น โดยใช้ Autoregressive Generative Large Language Models (LLMs) สื่อสาร หาและเพิ่มพูนความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้าง Security Use Cases นอกจากนี้ Generative Cybersecurity AI ยังสามารถประเมินความเสี่ยง ตรวจสอบ ติดตาม ระบุความผิดปกติบนระบบและรายงานผลให้ผู้ใช้งาน/ผู้ให้บริการทราบ ผ่านการโต้ตอบด้วยภาษามนุษย์ (Natural Language) เช่นเดียวกันกับใช้งาน Geneartive AI เพื่อหาคำตอบที่ต้องการ
- AI-Enhance Security Operations: เป็นเทคโนโลยี AI ที่เปรียบได้กับกระบวนการหลังบ้าน (Backend Process) ของระบบดำเนินการด้านความปลอดภัย ที่มาเพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์เกี่ยวกับความปลอดภัยและแนวทางการตอบสนองต่อภัยคุกตามในรูปแบบต่าง ๆ โดย AI – Enhance Security Operations ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อวิเคราะห์ ค้นหา ไล่ล่าไวรัสมัลแวร์ และนำเสนอวิธีการรับมือกับเหตุการณ์นั้น ๆ ทำให้องค์กรสามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาได้รวดเร็วแม่นยำมากขึ้น
แกนที่ 4 Sustainability Technologies
เป็นการผสมผสานแนวคิดด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนซึ่งประกอบด้วย 1) เทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อม และ 2) เทคโนโลยีที่สนับสนุนนโยบายด้าน ESG ซึ่งบลูบิคพบเทรนด์ที่น่าจับตามองในปีหน้าดังนี้:
- AI for Sustainability: เป็นการใช้ AI ช่วยปรับปรุงระบบการดำเนินงานและจัดการกระบวนการที่เป็นอุปสรรคต่อการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยคาร์บอน ปัจจุบันนอกจากการใช้โมเดล AI ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังมีการใช้ AI เฝ้าสังเกต คาดการณ์ ลดการปล่อยคาร์บอนและปรับปรุงประสิทธิภาพในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เช่น การพยากรณ์อากาศ การปรับปรุงระบบรีไซเคิลและจัดการของเสีย การจัดเส้นทางการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วยระบบอัตโนมัติ เป็นต้น
- ESG Management and Reporting: เป็นกระบวนการบริหารจัดการและจัดทำรายงานด้าน ESG ที่จะเข้ามาช่วยองค์กรรับมือกับแรงกดดันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การจัดการภายในองค์กรจนถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้าน ESG ของหน่วยงานต่าง ๆ และคู่ค้า โดยอาศัยซอฟต์แวร์ที่สามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำรายงานได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถใหม่ ๆ อาทิ โมเดลและการวิเคราะห์ขั้นสูง (Modeling and Advanced Analytics) ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงผลลัพธ์ด้าน ESG ให้แก่องค์กรอีกด้วย
“ผู้คน เทคโนโลยีและธุรกิจกำลังเชื่อมโยงกันมากขึ้นทุกวัน และพร้อมส่งผลกระทบซึ่งกันและกันหากเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในส่วนใดส่วนหนึ่ง เห็นได้ชัดจากอิทธิพลของ Genereative AI ค่านิยมใหม่ของผู้คน และความสมดุลระหว่างประโยชน์และผลลัพธ์เชิงลบอันเกิดจากการใช้เทคโนโลยีของธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจะต้องทำอย่างต่อเนื่องและมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งบลูบิคเชื่อมั่นว่าองค์กรธุรกิจที่รู้เท่าทันกระแสที่เกิดขึ้นและเตรียมพร้อมรับมืออย่างเหมาะสม จะสามารถลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุค Digital-First World” นายพชร กล่าวปิดท้าย