จากเด็กจบใหม่สู่ Head of people Team
Sutida Chansomboon เริ่มต้นนับหนึ่งกับ Bluebik Group ในฐานะเด็กจบใหม่จากรั้วมหาลัยก่อนจะก้าวมาเป็น Head of People Team ของบริษัทภายในเวลาเพียงสามปี แน่นอนว่าการเดินทางบนสายอาชีพ HR ที่ต้องดีลกับคนหลากหลายรูปแบบย่อมเป็นเส้นทางที่ท้าทายและเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจมากมาย
จากเด็กอักษรสู่ Head of People Team
“เราไม่เคยมีความคิดหรือเป้าหมายจริงจังว่าเรียนจบไปต้องทำงานอะไรเลย ตอนนั้นมี mindset ว่างานที่คนอย่างเราน่าจะทำได้ก็คงเป็นเลขาฯ ไม่ก็ HR เพราะฉะนั้นตอนสมัครงาน ก็สมัครหว่านไปทั้งหมด แต่สุดท้ายงานแรกในชีวิตก็คือได้เข้ามาเป็นเลขาฯให้กับ Pakorn Jiemskultip, CTO of Bluebik Group ตอนนั้นบริษัทมีกันอยู่ไม่ถึง 10 คน งานเลขาฯแบบที่เราเห็นในหนังฝรั่ง จำพวกรับโทรศัพท์แทนนาย ติดตามนายก็คือแทบจะไม่ได้ทำ งานส่วนของเราก็จะดูแลเรื่องอื่นๆทั้งหมดของบริษัท เป็นอย่างนี้มาตลอดจนบริษัทโตมากขึ้น จากจำนวนคนที่มีแค่หลักหน่วยก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ต้องมีคนรับผิดชอบเรื่อง HR แบบจริงจังซักที ทางผู้บริหารของบริษัทจึงเรียกเราไปคุยว่าอยากขยับขยาย career path ตัวเองไปไหนต่อ ซึ่งตอนนั้นก็ยังคิดเหมือนตอนเริ่มทำงานว่า ความรู้ความสามารถอย่างเราก็คงทำได้ไม่กี่อย่าง ก็จะเหลือแค่ HR นี่แหละที่ยังไม่ได้ลอง ก็เลยแจ้งพี่เขาไปว่าอยากลองทำตรงนี้ ซึ่งเขาก็ให้โอกาสและไว้ใจให้เด็กที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยทำและไม่ได้มี passion อะไรต่อสายงานนี้มาลองทำอย่างจริงจัง ซึ่งถ้ามองในมุมของผู้บริหาร เขาก็อยู่บนความเสี่ยงมากเหมือนกันที่มาเดิมพันตรงนี้กับเรา แล้วก็นั่นแหล่ะจุดเริ่มต้น จากความที่ไม่รู้ ไม่แน่ใจอะไรในอนาคตเลย พอมีเป้าหมายชัดขึ้น มีคนเชื่อในตัวเรา เราก็เริ่มจริงจังกับทางนี้และค่อยๆ ค้นเจอตัวเองมากขึ้นผ่านการทำงานในแต่ละวัน”
ความพิเศษของ Bluebik
Opportunity and People
“ตอนทำงานแรกๆ Pakorn Jiemskultip เคยเล่าให้ฟังเรื่อง Connecting Dots ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจหรอกว่างาน Back Office ที่เราทำอยู่จะต่อยอดไปสู่อะไรได้หรือจะเป็นโอกาสที่ดีในชีวิตได้ยังไง เพราะงานเราซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานเอกสารก็ทำจบเป็นงานๆ ไปเรียกได้ว่าค่อนข้าง Routine ด้วยซ้ำ แต่พอถึงวันนี้ ที่หน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้น เรายิ่งตระหนักได้ดีเลยว่า บรรดา Skill set ที่ต้องใช้มากขึ้นก็ล้วนสะสมมาจากการทำงานในทุกๆ งานอันหลากหลายที่เคยทำทั้งสิ้น มันไม่มีอะไรไร้ประโยชน์หรอก ฉะนั้นยิ่งได้รับโอกาสที่เปิดกว้างให้ได้ลอง ได้เรียนรู้งานหลากหลาย หรืองานที่ท้าทายนอกเหนือ Safe zone ของตัวเองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการสั่งสม dot ในชีวิตมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ อาจจะมีผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ทั้งหมดนั้นต่างก็เป็นประโยชน์และเอื้อให้เราได้ลากเส้นปะติดปะต่อจุดต่างๆพวกนั้น เพื่อขยายขอบเขตความสามารถของตัวเอง ซึ่งนี่แหละเป็นเรื่องที่เราคิดว่าที่นี่ให้โอกาสนั้นกับทุกคน”
“ส่วนเรื่อง people ก็เป็นอีกสิ่งพิเศษของที่นี่ โดยส่วนตัวแล้วเราให้ความสำคัญกับเรื่องสังคมแวดล้อมของการทำงานเป็นปัจจัยต้นๆ เราอยากใช้เวลา 8-9 ชั่วโมงต่อวันไปอย่างสบายใจกับสังคมที่ดีและเพื่อนพี่น้องที่ดี เพราะการทำงานแต่ละวันมันทั้งเครียด ทั้งเหนื่อยพออยู่แล้ว การต้องมาทนอยู่กับสภาพแวดล้อมหรือเพื่อนร่วมงานที่เข้ากันไม่ได้ มันสร้างแต่ความอึดอัดใจและบั่นทอนมากเกินไป ในทางกลับกันการแวดล้อมด้วยทีมที่ดีและเข้ากันได้มันทำให้เราสนุกกับงานมากขึ้น หรือถ้างานมันหนักหนาสาหัสมากนัก การได้หัวเราะไปกับเรื่องง่ายๆ ร่วมคนในทีม ได้เล่า บ่น ระบายออกไปก็ช่วยเราในเวลาแย่ๆได้มาก ซึ่งเรามองว่าความสงบและสบายใจที่ได้จากเรื่องเล็กน้อยรอบตัวแบบนี้มันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะสร้างความสุขให้ได้ง่ายๆเลย และเราโชคดีที่เจอสังคมแบบที่เราต้องการได้ทั้งหมดที่นี่”
HR ในมุมมองของเรา
“เราว่า HR ก็คือตัวกลางทางการสื่อสารระหว่างทีมและผู้บริหาร หมายถึงว่าเราเป็นคนทำงานที่รับทราบ Insight ของบริษัท ทราบเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆของบริษัท แต่ในขณะเดียวกันเราเองก็เป็นลูกจ้างคนหนึ่ง เรามีความคิด ความต้องการและมุมมองของคนทำงานต่อบริษัทเหมือนกับคนอื่น พอเป็นแบบนี้แล้ว ในทุกโปรเจคที่เราทำ เราจะคิดไปเผื่อทุก Party โดยเริ่มต้นจาก Insight ของทีมก่อนว่า โปรเจคแบบนี้จะตอบโจทย์ที่ทีมอยากได้จากบริษัทไหม แล้วสลับบทบาทมาเป็นมุมมองจากบริษัทว่ามันจะตรงกับ Direction ที่บริษัทอยากให้มันเป็นจริงๆหรือเปล่า และโปรเจคนี้ได้ประโยชน์กันครบไหม มีใครเสียประโยชน์จากงานตรงนี้ของเราหรือเปล่า หรือบางทีเรารู้ว่าทีมอยากให้บริษัทปรับเปลี่ยนบางอย่างให้ดีขึ้น เราในฐานะที่มี Insight จากทั้ง 2 ฝั่งที่ทราบสถานการณ์และบริบทนั้นได้เป็นอย่างดี ก็ต้องสื่อสารออกไป พูดในมุมมองของคนทำงานคนหนึ่งและในมุมมองของบริษัท สร้างความเข้าใจให้กับทั้ง 2 ฝ่ายให้ได้”
ท้าทายที่สุดในชีวิต HR
Diversity
“อย่างที่ทราบว่างาน HR ก็คืองานที่เกี่ยวข้องกับคนแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ เราเกี่ยวพันกับทุกคนตั้งแต่วันแรกของเขา วันที่ดี วันที่แย่ จนถึงวันที่เขาต้องออกไป งานของเราจึงไม่ใช่แค่การคัดคนเข้ามาทำงานแล้วจบ แต่ต้องดูแล ใส่ใจ ถนอมใจกันให้ดีตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นการสื่อสาร การทำงานและการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในฐานะ HR ร่วมกับพวกเขาซึ่งต่างก็มีบุคลิก ลักษณะ นิสัยส่วนตัวที่แตกต่างคือความท้าทายที่สุดสำหรับเรา นี่ยังไม่พูดถึง Education Background จากหลากหลายสาขาวิชาที่เป็นตัวขับเคลื่อนระบบความคิดให้ต่างกันออกไปอีก พอบริษัทเริ่มมี diversity เยอะขึ้นเรื่อยๆ เราจะย้ำตัวเองและพยายามจะทำให้ดีขึ้นก็คือ Treat all with respect หมายถึงการปฏิบัติกับทุกคนด้วยความเท่าเทียม เข้าใจและให้เกียรติในความต่างของบุคคล รวมถึงการให้ value ต่อตัวตนของเขาเป็นสำคัญ เราไม่มีทางรู้เลยจริงๆว่าทุกคำพูดและการกระทำของเราจะส่งผลอย่างไรกับใครบ้าง เจตนาเราอาจถูกเข้าใจผิดไปหรือส่งไปถึงผู้รับได้ไม่ทั้งหมด เหมือนเวลาเราเขวี้ยงก้อนหินไปบนผิวน้ำ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจังหวะที่หินกระทบน้ำ มันสร้างระลอกคลื่นกินวงกว้างไปแค่ไหน เพราะฉะนั้นการสื่อสารออกไปแต่ละครั้งก็ต้องพิจารณาดีๆ แต่สำคัญคือการต้องมีความเข้าใจอย่างแท้จริงต่อความแตกต่างเหล่านั้น และยอมรับต่อความเป็นปัจเจกบุคคล”
ผ่านมาได้ยังไง
“จริงๆมันก็เป็นงานที่ยังต้องพัฒนาและทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังทำอยู่ก็คือความยับยั้งชั่งใจ การคิดซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ รอบว่าสิ่งที่จะพูด จะทำ มันดี มันเหมาะแล้วหรือยัง เพิ่มความรู้สึก sensitive ต่อการกระทำของตัวเองมากขึ้น การเลือกใช้คำพูดแบบต่างๆกับแต่ละกลุ่มก็สำคัญ ซึ่งบางทีเราก็จะกังวลว่า ต้องทำแบบไหนให้เขาเข้าใจและรู้สึก positive ต่อสารของเราและเจตนาของเรา หรือถ้าเขารู้สึกไม่ดี เราจะพยายาม recover กลับมาได้อย่างไร เราไม่อยากให้เรียกว่าเป็นการสปอยด์หรือเอาอกเอาใจ แต่มันคือการดูแลใจให้กันมากกว่า เหมือนกันกับที่เราดูแลใส่ใจครอบครัว เพื่อน ญาติพี่น้องของตัวเองแหละ เราเองก็อยากดูแลและให้เขาได้อยู่ในสังคมที่ดี ที่สบายใจ”
สิ่งที่ Candidate รับรู้ความเป็น Bluebik ได้ผ่านตัวเรา
“สิ่งหนึ่งที่เราตั้งใจและอยากให้เขาได้เห็นคือ ตัวตนและคนของเรา ตั้งแต่นาทีแรกที่เข้ามาในออฟฟิศจนกระทั่งเดินออกไป เราจะนำเสนอแง่มุมพวกนี้ให้เขาทราบผ่านขั้นตอนและวิธีการพูดคุยของเราในห้องสัมภาษณ์ เหตุที่เราเน้นย้ำในเรื่องนี้เพราะเรารู้ว่าข้อมูลอื่นๆของบริษัท ผู้สมัครเขาก็หากันเองได้ แต่เรื่องของสภาพแวดล้อมและสังคมการทำงานเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถเชื่อจากแหล่งไหนได้เท่ากับการได้เจอด้วยตัวเอง แต่อันนี้ต้องลองไปถาม new joiner ของเราดูว่ารู้ได้จริงไหม ถ้าไม่อย่างนั้นก็อยากให้ลองสมัครเข้ามาพิสูจน์เรื่องนี้กันได้”
คิดว่า Bluebik กับตัวเองจะโตไปยังไง
“ถ้านับตามอายุงานแล้ว วันแรกของเราที่นี่ก็เหมือนเราเพิ่งเกิดแหละ ตอนนั้นบลูบิคเพิ่งอายุแค่ 2 ขวบ ถ้าพูดให้เห็นภาพอีกนิด ก็เหมือนเราโตมาพร้อมกับพี่ชายที่อายุห่างกับเราแค่ 2 ปี ซึ่งตอนนั้นเราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในช่วงวัยแห่งการเริ่มต้น ได้ลองผิดลองถูกกันมา เราต่างเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกันจนมาถึงวันนี้ ที่เราทั้งคู่ต่างโตพอที่จะรู้จักตัวเองมากขึ้น มีเป้าหมายและเส้นทางในอนาคตที่ชัดเจน แต่เราต่างก็ยังมีกันในเส้นทางนี้ เพราะยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากลอง มีหลายโอกาสที่หยิบยื่นมาให้เราได้คว้า มีหลายปัญหาและอุปสรรคให้เราได้แก้ และยังมีอีกหลายเรื่องสนุกที่รอให้เราไปพบซึ่งเราก็ตั้งตารอที่จะได้ไปเจอพร้อมกันกับพี่คนนี้นี่แหละ”
แน่นอนว่าการเริ่มต้นจากศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความตั้งใจ การสั่งสมประสบการณ์และการทำงานในที่ที่พร้อมจะให้โอกาสเราได้เติบโตไปพร้อมกันทำให้เธอกลายเป็น Head of People team ของ Bluebik ได้ในวันนี้