“ตั้งแต่เข้ามาทำงานตำแหน่ง UX/UI Designer ทุกอย่างในโลกมันกลายเป็น UX ไปหมดเลย”
4 ปีหลังจากเข้ามาร่วมทีม Bluebik พี่มะ-มกรณ์ ทองเสวต นิยามการเปลี่ยนแปลงของตัวเองให้เราฟังอย่างนั้น
หลายคนใน Bluebik อาจรู้จักพี่มะในฐานะ Project Manager ประจำทีม Design and Experience หรือ DE ผู้เป็นพี่ชายใจดีสอนน้องๆ ในทีมอย่างใจเย็น แต่น้อยคนอาจจะรู้ว่า ตัวพี่มะเองก็เติบโตจากการเป็นกราฟิกดีไซน์เนอร์ที่แทบจะไม่มีทักษะสายเทคเลย ไม่คุ้นกับหลักคิด UX/UI และเคยเชื่อว่าการจะใช้งานแอปฯ สักแอปฯ ให้คล่องต้องเป็นหน้าที่ของ User เท่านั้น จนตอนนี้ พี่มะได้เติบโตกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง UX/UI และหนึ่งในหัวเรือใหญ่ของทีม DE
แต่อะไรล่ะที่ทำให้ดีไซเนอร์คนหนึ่งที่ไม่รู้จักโลกของ UX/UI เลยเปลี่ยนความคิด จนตอนนี้มองทุกอย่างในโลกเป็นเรื่องของ UX (User Experience) ไปหมด มากกว่านั้น พี่มะได้เรียนรู้อะไรจาก 4 ปีใน Bluebik บ้าง ขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วมาฟังพี่มะเล่าไปพร้อมกัน
ดีไซน์ดี = ชีวิตดี
หลังจากเรียนจบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาศิลปอุตสาหกรรม (Industrial Design) จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง พี่มะลองทำงานประจำในตำแหน่งกราฟิกดีไซน์เนอร์อยู่ 1 ปี ขณะเดียวกันเขาก็ลองเปิดแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง และด้วยความชอบด้านสัตว์เลี้ยง พี่มะก็ขยายไปเปิดธุรกิจฟาร์มเพาะพันธุ์หมาชิบะด้วย
แต่ไม่ว่างานไหน หนึ่งในสิ่งที่ต้องทำเหมือนกันคือการออกแบบ สำหรับพี่มะ ความสนุกของงานดีไซน์ไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงามของกราฟิก แต่พี่มะเชื่อว่างานดีไซน์บางอย่างจะทำให้ชีวิตของคนทุกคนดีขึ้นได้
“บางทีของที่มีในตลาดมันไม่ถูกใจเรา เราเลยชอบคิดว่าจะทำให้มันดีขึ้นได้ยังไง ใช้ง่ายขึ้นได้ยังไง อย่างเสื้อผ้า ด้วยความที่เราเป็นคนตัวเล็ก เวลาเราไปห้างเราก็จะเจอแต่แบรนด์เมืองนอกที่ไม่พอดีกับตัว เราจึงตั้งแบรนด์ขึ้นมาให้เหมาะกับไซส์ของคนเอเชียบ้าง” เขาบอก
เมื่อธุรกิจฟาร์มหมาเริ่มไปได้ดี พี่มะก็ถูกทาบทามเข้ามาทำงานที่ Bluebik ในตำแหน่ง UX/UI Designer ซึ่งคนชวนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น พี่เอิร์ธ-สรณัญช์ ชูฉัตร Chief Experience Officer (CXO) หัวเรือใหญ่แห่งทีม Design & Experience นี่เอง

ใช้แอปฯ ให้คล่อง เป็นหน้าที่ของ User (?)
“หลักๆ เลยคือการออกแบบแอปพลิเคชัน เรารู้สึกว่าเป็นงานที่แปลกดีแต่ก็ไม่ได้ไกลตัว ไม่ได้ต่างจากงานกราฟิกดีไซน์ที่เคยทำ เพราะก่อนหน้านี้เราก็เคยทำเว็บไซต์มาก่อน แอปฯ ที่อยู่ในมือถือก็คือเว็บไซต์ที่ย่อลงมา เราเลยคิดว่าเราน่าจะทำได้” เขาเล่าเหตุผลที่ตัดสินใจตกปากรับคำ
ถึงอย่างนั้นก็มีบทเรียนสำคัญที่พี่มะได้เรียนรู้ เมื่อได้เข้ามาทำงานจริง
“เมื่อก่อนเราเคยคิดว่า การใช้งานแอปฯ ต่างๆ ในมือถือ มันเป็นหน้าที่ของผู้ใช้ที่ต้องใช้ให้เป็น แต่พอเข้ามาช่วงแรกๆ เราได้ทำโปรเจกต์รีดีไซน์แอปฯ หนึ่ง ก่อนทำก็ต้องลองเล่นดีไซน์ปัจจุบัน เพื่อดูว่ามีปัญหาอะไร ควรแก้ที่ไหน แต่เรารู้สึกว่ามันไม่มีเลย ด้วยความคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องใช้ให้เป็น เราจับผิดแค่ในมุมความสวยงามและสีสัน แต่เราไม่ได้เข้าใจเรื่อง User Experience เลย”
ปุ่มที่ดูแค่แวบเดียวก็รู้ว่ากดแล้วจะไปหน้าไหน คำที่ใช้ในปุ่มต้องเข้าใจได้ง่ายที่สุด นี่คือตัวอย่างของ User Experience หรือ UX ที่พี่มะเพิ่งมาเรียนรู้ที่ Bluebik
“จากนั้นเราก็เปลี่ยนไปเลย กลายเป็นคนช่างจับผิดที่โหลดแอปฯ มาแล้วคิดว่าทำไมเขาออกแบบอย่างนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนี้นะ มันจะง่ายกว่าไหม สิ่งเหล่านี้มันย้อนกลับไปตอบตัวเราเองเพราะเหตุผลที่เราดีไซน์คือเราอยากทำของให้ดีขึ้น เราเลยรู้สึกว่างานนี้มันแมทช์กับเรา”
UX/UI คือการเข้าใจคน
ทีม Design and Experience หรือ DE นั้นรับผิดชอบงานออกแบบที่หลากหลาย งานของทีมนี้ไม่ได้มีแค่การออกแบบ UX/UI ให้แอปฯ อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มีตั้งแต่ออกแบบให้แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ งาน Branding ไปจนถึงทำ CI (Corporate Identity) Book
สำหรับพี่มะ สิ่งสำคัญที่สุดในงาน UX/UI คือการทำความเข้าใจ ‘คน’
ในโปรดักต์ตัวหนึ่งต่างก็มี ‘ผู้ใช้’ ของมัน สิ่งที่นักออกแบบ UX/UI ต้องทำคือคิดไตร่ตรองว่าใครกันแน่คือผู้ใช้งานโปรดักต์นั้น ทำความเข้าใจ Pain Point ของพวกเขา และคราฟต์งานออกมาให้ตอบโจทย์หรือแก้ Pain Point นั้นมากที่สุด
“วัยรุ่นก็อาจจะมีความต้องการอย่างหนึ่ง ในขณะที่ผู้สูงอายุมีความต้องการอีกอย่าง สมมติมีแอปฯ หนึ่งสวยมากแต่ขนาดตัวหนังสือที่ใช้เล็กมาก คุณพ่อคุณแม่ต้องหยิบแว่นมานั่งส่อง แล้วแอปฯ นั้นมีกลุ่มผู้ใช้เป้าหมายเป็นคนวัยนั้น มันก็ต้องปรับหรือเปล่า” เขาตั้งคำถาม
การเรียนรู้ไม่มีวันหยุด
ช่วงแรกที่เข้ามาทำงานกับ Bluebik พี่มะบอกว่า สิ่งที่ต้องปรับตัวเยอะที่สุดคือการที่อดีตกราฟิกดีไซน์เนอร์อย่างเขาต้องปรับตัวให้เข้ากับทีมเทคให้ได้
“เราเคยเข้าไปประชุมกับนักพัฒนา (Developer) พอเข้าไปก็รู้สึกว่าเขาคุยภาษาต่างดาว เป็นคำเทคนิคที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมดจนเราจดศัพท์ลงสมุดได้เป็นหน้า สุดท้ายก็ไปเสิร์ชดูคำศัพท์พวกนั้น อันไหนไม่เข้าใจแล้วเราค่อยไปถามว่ามันคืออะไร เพราะมันมีเยอะมาก” เขาเล่า
“ความท้าทายในการทำงาน UX/UI คือเราไม่มีวันหยุดเรียนรู้ได้ นอกเหนือจากเทคโนโลยีที่ก้าวไปทุกวัน ความต้องการของผู้ใช้ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ สิ่งที่เรารู้มาเมื่อ 3-4 ปีก่อน ในวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เราใช้ชุดความรู้เดิมมาตัดสินใจไม่ได้แล้ว ฉะนั้นต้องคอยอัปเดตและทำความเข้าใจ User ใหม่อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคำว่า UX ไม่มีวันจบ มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จริงๆ”

Empathy คือคีย์หลัก
นับแต่วันแรกที่ได้เข้ามาทำงานกับ Bluebik ตอนนี้พี่มะเลื่อนตำแหน่งมานั่งเก้าอี้ Project Manager จากดีไซเนอร์ที่ทำทุกอย่างจบในตัวเอง กลายมาเป็นพี่ๆ ที่ต้องดูแลน้องในทีม สอนงานพวกเขา ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวกลางระหว่างลูกค้ากับทีม DE และทีมนักพัฒนา ซึ่งพี่มะยอมรับว่าเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของเขาไม่เบา
“เนื้องานไม่ได้เปลี่ยนไปมาก แต่พอเราเริ่มมีคนที่ต้องดูแล ต้องไปโค้ชชิ่งเขา ตรงนี้แหละที่เปลี่ยน
“การบริหารคนมันเหนื่อยแต่ท้าทาย เพราะมันยังเป็นโลกที่เรายังไม่เข้าใจมันเต็มที่ เราเลยอยากจะเรียนรู้มัน เช่น จะทำยังไงให้น้องคนนี้ทำงานที่เราทำได้ เราเคยไปพูดแบบโง่ๆ ว่าก็ตอนนั้นเราก็ทำได้ ทำไมคุณทำไม่ได้ แต่พอได้มาสะท้อนคิดกันทีหลังแล้ว มันเป็นประโยคที่โคตรไร้สาระเลย เพราะคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราเติบโตมาไม่เหมือนกัน การที่คนคนหนึ่งจะทำบางสิ่งได้หรือไม่ได้มันอาจมาจากหลายสาเหตุ
“จริงๆ เรื่องการดูคนมันก็เกี่ยวข้องกับ UX นะ เราต้องมี Empathy ต่อเขาก่อน เพราะคนที่อยู่ในทีมหรือคนที่เราต้องสอนเขาก็คือ User คนหนึ่ง เราก็ต้องเข้าใจ Pain Point เขาว่าที่เขาทำงานช้ามันเป็นเพราะอะไร เขาอาจไม่เคยทำสิ่งนี้เลยหรือทำสิ่งนี้ไม่เป็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องการคือการทำให้ดูก่อนสักรอบไหม หรือแนะนำสิ่งที่เขาต้องไปดูเพื่อเขาจะได้เรียนรู้มันได้ ทุกอย่างในโลกมันกลายเป็น UX ไปหมดเลย
“สำหรับเรา การมี Empathy สำคัญ โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่ทุกอย่างเป็นติดเทรนด์ทวิตได้ เรื่องบางเรื่องเซนซิทีฟมาก เมื่อก่อนเวลาพนักงานมาสายหรือทำงานไม่ได้ เราก็อาจจะดุไป แต่จริงๆ แล้วเขาอาจจะมีปัญหาที่บ้านหรือเปล่า ถ้าเราไม่สนใจเขา เราก็อาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำไป เขาทำเพราะอะไร เพราะฉะนั้น Empathy แทบจะเป็น core หลักในการบริหารคนเลยแหละ”
ยินดีถาม ยินดีตอบ
แต่พอขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่ พี่มะก็ไม่ได้หนักใจมาก นั่นเพราะในองค์กร Bluebik เองก็จัดเทรนนิ่งขึ้นมาบ่อยๆ เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพของคนทำงานทุกระดับ
สิ่งที่ช่วยทำให้สบายใจข้อต่อมาคือวัฒนธรรมในองค์กรที่ทำให้พนักงานสบายใจที่จะแชร์ความรู้กัน หากสงสัยเรื่องไหนก็สามารถเดินไปถามกับคนที่เชี่ยวชาญเรื่องนั้นได้เลย
“บางทีเราสงสัยเรื่องที่เราไม่ได้ถนัด แต่เรามีทีมอื่นอยู่ใกล้ๆ ทำให้เราสามารถเดินไปถามหรือปรึกษาได้ บางทีเห็นงานที่ทีมอื่นเขาทำ เราก็ครูพักลักจำมาบ้าง มันทำให้เราสบายใจว่าถ้าเราติดปัญหาตรงไหน เราก็แค่เดินไปถามคนที่เขาถนัด”
ดูพี่เป็นตัวอย่าง
“ถ้าให้วิเคราะห์ดู เราน่าจะเป็นผู้นำสาย ‘ทำให้ดูก่อน’” พี่มะตอบ เมื่อเราถามเขาว่าพี่ใหญ่อย่างเขาเป็นผู้นำสไตล์ไหน
“ข้อเสียคืองานเราอาจจะเยอะเพราะเราสั่งไม่เก่ง แต่ต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับอีกฝั่งว่าจะซึมซับสิ่งที่เราสอนไปแค่ไหนด้วย ทุกวันนี้ก็พยายามปรับอยู่นะ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การโค้ชหรือการแจกจ่ายงาน เราจะตามเช็กเป็นระยะ เพื่อลดงานออกจากตัวเองบ้าง”
พี่มะย้ำว่า ทีมที่ดีคือทีมที่ประกอบไปด้วยคนที่รู้หน้าที่ตัวเองและมีความรับผิดชอบ
“เมื่อก่อนเราจะเป็นคนเคร่งกฎระเบียบมาก แต่หลังๆ มา กับคนที่เขารู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร เราก็จะไม่ยุ่งกับเขาเลย เพียงแค่อัปเดตกันตามเวลาที่นัดไว้ สิ่งที่จะตามมาคือเรื่องคุณภาพ ถึงเขาจะส่งตรงเวลาแต่งานอาจจะไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร เราก็ต้องฟีดแบ็กไปตามจริงว่างานที่จะส่งให้ลูกค้าได้ต้องเป็นแบบไหน”

ทำงานที่ภูมิใจและบาลานซ์ให้ดี
ตลอด 4 ปีของการทำงานกับ Bluebik ในฐานะหัวเรือของทีม DE เราถามพี่มะว่า อะไรคือสิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุด
“งานนี้กลับมาตอบโจทย์เรื่องการออกแบบของเรา คือเราออกแบบเพราะอยากจะทำให้สิ่งต่างๆ มันดีขึ้น เพราะฉะนั้น การที่ทำให้อะไรมันดีขึ้นได้สักนิดหนึ่ง เราก็ภูมิใจแล้วนะ” เขายิ้ม แล้วอธิบายต่อ
“เบื้องลึกเบื้องหลังในโปรเจกต์หนึ่งเราอาจจะผ่านอะไรมามากมาย แต่สุดท้ายแล้วเราได้ทำให้มันดีขึ้นหรือเปล่า สมมติได้โปรเจกต์หนึ่งมาจากลูกค้า เราได้ทำให้ธุรกิจของเขาดีขึ้นไหม หรือหากรูปร่างหน้าตาของเดิมมันไม่สวย เราได้ทำให้มันสวยขึ้นหรือเปล่า ในขณะเดียวกัน มุมของคนในทีมเอง เราก็กลับมาคุยกันเรื่อยๆ ว่า มีอะไรที่เราพอจะช่วยเขาได้ไหม ทำให้เขาเก่งขึ้นบ้างไหม”
พี่มะยกตัวอย่างโปรเจกต์ที่ทำแล้วภูมิใจให้ฟังต่อ โปรเจกต์แรกคือแอปพลิเคชันธุรกรรมการเงินของธนาคารแห่งหนึ่งที่พัฒนากันมานาน ทีมต้องดีไซน์จาก UX/UI ที่ผู้ใช้เป็นล้านคนรู้จักดีอยู่แล้วให้กลายเป็นดีไซน์ใหม่ ก็เป็นเรื่องน่าลุ้นว่าฟีดแบ็กจะเป็นยังไง อีกโปรดักต์คือแอปพลิเคชันของธุรกิจยางพาราครบวงจร สิ่งท้าทายคือต้องทำแอปฯ ให้ชาวสวนยางใช้ ระหว่างการพัฒนา ทีม DE ก็ต้องไปสัมภาษณ์เกษตรกรอยู่หลายคน จนสามารถเข้าใจการทำงานของพวกเขาเพื่อพัฒนาแอปฯ ที่ทำให้เกษตรกรขายยางพาราได้ดีขึ้น
“ทำงานมา 4 ปี ก็ยังไม่รู้ทั้งหมดสักที” คือคำนิยามประสบการณ์ที่พี่มะมีให้กับ Bluebik “หมายถึงเราก็ต้องมีเรื่องใหม่ให้ต้องรู้อยู่ตลอด มันไม่เคยมีวันที่เรารู้สึกว่าเราเก่งแล้ว จากตำแหน่งแรกที่เราต้องโฟกัสแต่ตัวเอง ตอนนี้เราต้องโฟกัสเรื่องของคนอื่นด้วย ไม่ว่าจะน้องในทีม ผู้ใช้แอปฯ ลูกค้า หรือพาร์ทเนอร์ มันคือการบาลานซ์ว่าจะทำยังไงให้ทุกฝั่ง Win แล้วอยู่ด้วยกันได้” พี่มะระบายยิ้มทิ้งท้าย
และนี่คือการทำงานในทีม Design & Experience ที่ทำให้พี่มะได้เปิดใจเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าใครสนใจอยากเปิดประสบการณ์แบบนี้และเข้าร่วมทีมของเราบ้าง ลองเข้าไปดูตำแหน่งที่ Bluebik กำลังเปิดรับได้ที่ https://bluebik.com/th/job/ได้เลย