ในวันที่ Data เป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจ แต่ในทางกลับกันก็อาจนำไปสู่ความเสียหายได้ หากขาดการกำกับดูแลข้อมูลหรือ Data Governance ที่ดีพอ เพราะโลกเรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ขยายตัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตีคู่มากับพัฒนาการของเทคโนโลยี AI ที่ต้องอาศัยข้อมูลมหาศาลในการเรียนรู้ ส่งผลให้ความกังวลด้านความปลอดภัยและข้อมูลรั่วไหล ปกคลุมตั้งแต่ระดับองค์กรธุรกิจ ภาครัฐ จนถึงบุคคลทั่วไป
ผลกระทบจากภัยคุกคามไซเบอร์และการนำข้อมูลไปใช้แบบไร้การควบคุม กำลังกดดันธุรกิจให้จริงจังกับ Data Governance อย่างไรก็ตาม การผลักดัน Data Governance ให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ง่าย แต่ก็ยังมีตัวช่วยให้ธุรกิจสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการกำกับดูแลข้อมูลได้ นั่นคือ ‘Three Lines Model’
Three Lines Model คืออะไร
Three Lines Model คือ แนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านข้อมูล ที่สามารถช่วยองค์กรระบุและบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการสร้างแนวป้องกัน 3 ด่าน ได้แก่ ฝ่ายธุรกิจและหน่วยปฏิบัติการ ฝ่ายบริหารความเสี่ยงและปฏิบัติตามข้อกำหนด รวมถึงการตรวจสอบภายในและภายนอกองค์กร
The Institute of Internal Auditors – IIA ระบุว่า Three Lines Model เกิดจากการประสานความร่วมมือของปราการทั้ง 3 ด่าน ที่มีเป้าหมายบริหารจัดการความเสี่ยง และการกำกับดูแลภายใน (Internal Governance)
วัตถุประสงค์ของ Three Lines Model
สำหรับ Three Lines Model มีการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจน รวมถึงการกำกับดูแลโดยคณะทำงาน ผู้บริหารระดับสูง และการรับรองโดยหน่วยงาน/บุคคลภายนอก เพื่อบรรลุเป้าหมายดังต่อไปนี้
- การปรับเปลี่ยนเพื่อบรรลุเป้าหมายองค์กร
- การให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อผลักดันให้การกำกับดูแลประสบความสำเร็จ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
- การกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบ รวมถึงความเกี่ยวข้องกันของทุกตำแหน่งในโมเดล
- การดำเนินมาตรการเพื่อให้กิจกรรมและวัตถุประสงค์ สอดรับกับผลประโยชน์ของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย

3 ด่านแนวป้องกันของ Three Lines of Defense
Three Lines Model จะใช้วิธีเข้าไปจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีหน่วยธุรกิจ การปฏิบัติตามข้อบังคับ การตรวจสอบและบริหารจัดการความเสี่ยงจากพนักงาน เป็นแกนหลักของโมเดลและทุกฝ่ายมีหน้าที่เฉพาะของตนเอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ด่าน ดังต่อไปนี้
ด่านที่ 1 หรือ First Line : ฝ่ายธุรกิจและหน่วยปฏิบัติการ
ประกอบไปด้วยหน่วยผู้ปฏิบัติงาน ดังต่อไปนี้
1. เจ้าของข้อมูล (Data Domain Owner/Data Owner) มีหน้าที่
- อนุมัติการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
- ดูแลการบริหารจัดการข้อมูลให้เป็นไปตามนโยบาย มาตรฐาน และระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับ Data Governance
- จัดทำทะเบียนข้อมูลและอัปเดตให้เป็นปัจจุบัน รวมถึงกำหนดลำดับชั้นความลับ และเกณฑ์คุณภาพของข้อมูล
2. หัวหน้าบริกรข้อมูล (Lead Data Steward) มีหน้าที่
- กำหนดปริมาณงานของบริกรข้อมูลในแต่ละฟังก์ชัน
- ให้คำปรึกษาปัญหาด้านข้อมูล อาทิ คุณภาพข้อมูลและ Cyber Security
- สื่อสารให้ความรู้ แนะนำนโยบายและระเบียบเกี่ยวกับ Data Governance
- ทำงานร่วมกับฝ่ายกำกับดูแลข้อมูล (DG Office)
- ติดตามการปฏิบัติตามนโยบายข้อมูล และสถานะการบริหารจัดการในภาพรวม รวมถึงรายงานผล/ปัญหา/ความเสี่ยงต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
3. บริกรข้อมูล (Data Steward) มีกรอบการทำงานคล้ายกับ Lead Data Steward เพียงแต่บริกรข้อมูลจะรายงานผลและประเด็นปัญหา/ความเสี่ยงที่พบต่อหัวหน้าบริกรข้อมูล
4. ผู้สร้างข้อมูล (Data Creator) มีหน้าที่บันทึก แก้ไข ปรับปรุงหรือลบข้อมูลให้สอดคล้องกับโครงสร้างที่กำหนด และทำงานร่วมกับบริกรข้อมูลในการตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพข้อมูลและ Cyber Security
5. ผู้ใช้ข้อมูล (Data User) มีหน้าที่ ปฏิบัติตามนโยบาย มาตรฐานและระเบียบของ Data Governance และรายงานถึงปัญหาคุณภาพและความปลอดภัย ที่พบระหว่างการใช้ข้อมูลให้แก่บริกรข้อมูล
6. ผู้ดูแลข้อมูล (Data Custodian) มีหน้าที่ ดูแล จัดเก็บหรือจัดการข้อมูลให้เป็นไปตามนโนบาย มาตรฐาน และระเบียบปฏิบัติขององค์กร
ด่านที่ 2 หรือ Second Line : ฝ่ายบริหารความเสี่ยงและปฏิบัติตามข้อกำหนด
กลุ่มงานที่ทำหน้าที่กำหนดกฎเกณฑ์ และควบคุมดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่
1. Data Governance Office (DG Office) มีหน้าที่ ดังนี้
- กำหนดกลยุทธ์และวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการขับเคลื่อนองค์กร ด้วยข้อมูลร่วมกับ DG Council
- กำหนด ทบทวนและแนะนำ เปลี่ยนแปลงนโยบาย มาตรฐาน แนวทางและกระบวนการต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการข้อมูลและ Data Governance ให้เป็นปัจจุบัน
- ผลักดันการจัดตั้งและกำกับดูแลโครงการ/โปรแกรมการจัดการข้อมูล
- สนับสนุนการดำเนินงานของ DG Council รวมถึงเสนอแนวทางและการจัดการข้อมูลร่วมกับทีมบริกรข้อมูล
- ติดตาม ดูแล ให้คำปรึกษา ตรวจสอบ และรายงานผลการปฏิบัติงานด้านข้อมูล
2. แผนกบริหารความเสี่ยง (Risk Management) มีหน้าที่ ดังนี้
- จัดทำกรอบและกระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงของธุรกิจ
- ให้คำปรึกษา ติดตาม และทบทวนความเสี่ยงด้านข้อมูลให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ รวมถึงรวบรวมและเชื่อมโยงความเสี่ยงด้านข้อมูล และด้านอื่น ๆ ของธุรกิจ พร้อมนำเสนอผลการบริหารจัดการความเสี่ยงแก่คณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง
ด่านที่ 3 หรือ Third Line : การตรวจสอบภายในและภายนอกองค์กร
ประกอบไปด้วย ผู้ตรวจสอบจากภายในและนอกองค์กร ที่เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินงานของแนวป้องกันที่ 1 และ 2 ผ่านการรีวิวและประเมินการออกแบบ รวมถึงการนำโปรแกรมจัดการความเสี่ยงไปปฏิบัติ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ตรวจสอบภายในองค์กรจะทำหน้าที่รายงานฝ่ายบริหารและผู้ควบคุม ในขณะที่ผู้ตรวจสอบจากภายนอกจะช่วยในส่วนของการปกป้องผลประโยชน์ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ มาตรฐาน รวมถึงประเมินการออกแบบและกระบวนการจัดการความเสี่ยงขององค์กรโดยภาพรวม
5 ประโยชน์ของ Three Lines Model
Three Lines Model สามารถช่วยองค์กรธุรกิจจัดการ และควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านการยกระดับการกำกับดูแลข้อมูล และขีดความสามารถในการฟื้นตัวเมื่อเกิดปัญหา โดยประโยชน์ของโมเดล มีดังต่อไปนี้
1. บทบาทหน้าที่ชัดเจน
มีการระบุบทบาทและความรับผิดชอบผู้ปฏิบัติงานอย่างชัดเจนทั้ง 3 ด่านป้องกัน ลดช่องว่าง และปัญหาการกำกับดูแลความเสี่ยงในภาพรวม
2. ประเมินความเสี่ยง
ในส่วนของ Third Line ที่มีความเป็นอิสระและการประเมินอย่างเป็นรูปธรรม เกี่ยวกับประสิทธิภาพของกระบวนการจัดการความเสี่ยง ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกมั่นใจได้ว่า ความเสี่ยงถูกจัดการอย่างเหมาะสม ในขณะที่มุมมองภายในเห็นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
3. การกำกับดูแลเข้มแข็งขึ้น
การดำเนินงานในส่วนของ Second Line ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยง และการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรฐานหรือข้อบังคับ ช่วยให้กระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยง และการบังคับใช้กฎระเบียบต่าง ๆ ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้องค์กรปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานอุตสาหกรรม ลดความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์และการกระทำที่ผิดกฎหมาย
4. จัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
การกระจายความรับผิดชอบไปยัง 3 ด่านป้องกัน ช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรขององค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพนักงานสามารถโฟกัสกับการจัดการความเสี่ยงในแต่ละวัน ในขณะที่ฝ่ายบริหารจัดการกับความเสี่ยงโดยภาพรวม และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโฟกัสกับตรวจสอบดูแลภาพรวม ทั้งภายในและภายนอกได้อย่างเต็มที่
5. รับรู้ข้อมูลความเสี่ยงในทุกมิติ
โมเดลนี้ทำให้ธุรกิจเห็นภาพรวมความเสี่ยงทั้งหมด ทำให้สามารถเลือกใช้กลยุทธ์และแผนจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ องค์กรยังสามารถจัดการกับความเสี่ยงใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และใช้ประโยชน์จากโอกาสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ที่สำคัญโมเดลนี้ยังส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมการตัดสินใจ ด้วยข้อมูลและการตระหนักถึงภัยคุกคามไซเบอร์ในองค์กรอีกด้วย
ความท้าทายที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพของ Three Lines Model
แม้ Three Lines Model มีประโยชน์มากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันมีความท้าทายและอุปสรรครอให้องค์กรธุรกิจรับมือและจัดการ ได้แก่
- ความรู้ความเข้าใจของผู้ปฏิบัติงาน
- การให้ความสำคัญกับกฎระเบียบมากเกินไป
- การจัดสรรทรัพยากร
- การรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
- การประเมินและรายงานผล
- ขีดความสามารถในการปรับใช้โมเดลในองค์กร
- ความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละภาคส่วน
แน่นอนว่า การจัดการกับความท้าทายดังกล่าวนี้ไม่ง่าย เพราะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจทั้งด้านเทคโนโลยี ประสบการณ์และบริบทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Data Governance ‘บลูบิค (Bluebik)’ ในฐานะที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการวางรากฐาน Data Governance ขององค์กรคุณ ด้วยการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ข้อมูลได้อย่างแท้จริง
สำหรับธุรกิจที่ต้องการวางกลยุทธ์ด้าน Data Governance เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตให้องค์กร บลูบิค (Bluebik) มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data & Advanced Analytics ที่สามารถให้บริการโซลูชันครบวงจร ตั้งแต่ระดับกลยุทธ์ไปจนถึงการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาได้ที่ [email protected] หรือโทรศัพท์ 02-636-7011
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก theiia, techtarget