10 ต้นทุนแฝงในการจัดการสต็อก (Inventory Costs) ที่คุณอาจไม่เคยรู้ และวิธีลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้

2 ธันวาคม 2568

By Bluebik

3 Mins Read

10 ต้นทุนแฝงในการจัดการสต็อก (Inventory Costs) ที่คุณอาจไม่เคยรู้ และวิธีลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้

ในธุรกิจที่ต้องมีการจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory) โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก การผลิต และอีคอมเมิร์ซ ต้นทุนที่มองเห็นได้ชัดเจนอย่างค่าสินค้าและค่าเช่าคลังสินค้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมการเท่านั้น ยังมี “ต้นทุนแฝง” (Hidden Inventory Costs) อีกมากมายที่กัดกินผลกำไรของคุณอย่างเงียบ ๆ หากไม่มี Inventory Management ที่มีประสิทธิภาพ ต้นทุนเหล่านี้อาจสูงถึง 25% ของมูลค่าสินค้าคงคลังทั้งหมด บทความนี้จะเปิดเผย 10 ต้นทุนแฝงที่หลายองค์กรมักมองข้าม พร้อมนำเสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้อย่างยั่งยืน

ต้นทุนแฝง 10 ประการที่กัดกินผลกำไรของคุณ

ต้นทุนสินค้าคงคลังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ ต้นทุนการเก็บรักษา (Carrying Costs), ต้นทุนการสั่งซื้อ (Ordering Costs), และต้นทุนการขาดแคลนสินค้า (Shortage Costs) ซึ่งในแต่ละประเภทล้วนมีต้นทุนแฝงซ่อนอยู่

A. ต้นทุนการเก็บรักษา (Carrying Costs)

เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการมีสินค้าอยู่ในคลังมากเกินไป:

ต้นทุนแฝง คำอธิบาย
1. ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) เป็นต้นทุนที่สำคัญที่สุด คือ เงินทุนที่จมอยู่กับสินค้าคงคลัง หากเงินนั้นไม่ได้ถูกนำไปซื้อสินค้า แต่ถูกนำไปลงทุนในกิจกรรมที่สร้างผลกำไรอื่นๆ เช่น การตลาด การวิจัย หรือการซื้อเครื่องจักรใหม่ องค์กรก็จะเสียโอกาสในการสร้างรายได้เหล่านั้นไป
2. ความเสี่ยงสินค้าล้าสมัย (Obsolescence Risk) สินค้าอาจกลายเป็นของล้าสมัย เสื่อมค่า หรือตกรุ่น (เช่น สินค้าเทคโนโลยี แฟชั่น) ซึ่งหมายถึงต้องมีการตัดจำหน่าย (Write-offs) สินค้าเหล่านั้นออกจากบัญชี ทำให้ขาดทุนเต็มจำนวน
3. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่ไม่สร้างมูลค่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการบริหารสินค้าคงคลังที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น เวลาของพนักงานที่เสียไปกับการนับสต็อกด้วยมือ การแก้ไขข้อผิดพลาดในสเปรดชีต หรือการตรวจสอบความคลาดเคลื่อนของข้อมูลสต็อก
4. ต้นทุนด้านความเสียหายและการหดตัว (Shrinkage & Damage) ต้นทุนที่เกิดจากการที่สินค้าเสียหายระหว่างการจัดการ การจัดเก็บที่ผิดวิธี (เช่น ซ้อนกันสูงเกินไป) การหมดอายุ (Spoilage) การถูกโจรกรรม (Pilferage) หรือการสูญหายในคลังสินค้า
5. ค่าประกันภัยและภาษี ยิ่งมูลค่าสต็อกในคลังสูงเท่าไหร่ ค่าเบี้ยประกันภัยสินค้าคงคลังและภาษีทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

B. ต้นทุนการสั่งซื้อ (Ordering Costs)

เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสั่งซื้อและการรับสินค้า:

ต้นทุนแฝง คำอธิบาย
6. ต้นทุนการบริหารจัดการเอกสาร ค่าใช้จ่ายในการออกใบสั่งซื้อ (Purchase Orders) การประสานงานกับซัพพลายเออร์ การประมวลผลใบแจ้งหนี้ และการจัดการเอกสารอื่น ๆ ที่ซ้ำซ้อนในระบบ manual
7. ต้นทุนการตรวจสอบคุณภาพ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อต้องมีการตรวจสอบ (Inspection) สินค้าที่ได้รับจากซัพพลายเออร์ทุกครั้ง ซึ่งรวมถึงค่าแรงของพนักงานตรวจสอบและเวลาที่เสียไป

C. ต้นทุนการขาดแคลนสินค้า (Shortage/Stockout Costs)

เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อสินค้าในสต็อกมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า:

ต้นทุนแฝง คำอธิบาย
8. ต้นทุนการจัดส่งด่วน (Expedited Shipping) เมื่อเกิดภาวะสินค้าขาดตลาด (Stockout) องค์กรมักต้องสั่งซื้อสินค้าเร่งด่วนจากซัพพลายเออร์โดยยอมจ่ายค่าขนส่งที่สูงกว่าปกติมากเพื่อเติมเต็มสต็อกให้ทันเวลา
9. ต้นทุนความไม่พอใจของลูกค้า (Customer Dissatisfaction) เป็นต้นทุนที่ประเมินมูลค่าได้ยาก แต่ส่งผลร้ายแรงที่สุด เมื่อสินค้าหมด ลูกค้าจะหันไปซื้อจากคู่แข่ง ส่งผลให้สูญเสียยอดขาย (Lost Sales) ความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) และอาจทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์เสียหายในระยะยาว
10. ต้นทุนการหยุดชะงักของการผลิต (Production Downtime) สำหรับโรงงานผลิต การขาดแคลนวัตถุดิบแม้แต่ชิ้นเดียวก็อาจทำให้สายการผลิตทั้งหมดต้องหยุดชะงัก (Downtime) ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียกำลังการผลิตและค่าแรงงานที่ต้องจ่ายโดยไม่ได้ทำงาน

วิธีลดต้นทุนแฝงเหล่านี้ด้วย Inventory Management ยุคใหม่

การลดต้นทุนแฝงเหล่านี้ต้องใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหาร Inventory Management

1. ใช้ระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) และ AI

  • สร้างการพยากรณ์ที่แม่นยำ: ใช้เครื่องมือ AI และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลยอดขายในอดีต แนวโน้มตลาด และข้อมูลภายนอก (เช่น สภาพอากาศ เทศกาล) เพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าอย่างแม่นยำ ช่วยลดความเสี่ยงของ Stockouts และ Overstocking
  • ปรับใช้ Economic Order Quantity (EOQ): ใช้สูตร EOQ เพื่อคำนวณปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสมที่สุด ที่จะช่วยให้ต้นทุนการสั่งซื้อ (Ordering Costs) และต้นทุนการเก็บรักษา (Carrying Costs) มีความสมดุลกัน

2. ปรับใช้หลักการ Lean และ Just-in-Time (JIT)

  • ลดสินค้าคงคลังสำรอง (Safety Stock): ปรับลดระดับสินค้าคงคลังสำรองให้เหลือเท่าที่จำเป็นที่สุด โดยอาศัยความแม่นยำของการพยากรณ์และระบบซัพพลายเชนที่มีความรวดเร็วในการตอบสนอง
  • จัดการพื้นที่จัดเก็บอย่างมีประสิทธิภาพ: ใช้หลักการ 5ส หรือการใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) ในคลังสินค้าเพื่อลดความเสียหาย และใช้พื้นที่จัดเก็บให้เกิดประโยชน์สูงสุด

3. สร้างความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ (Supplier Relationship Management)

  • สร้างความโปร่งใสของข้อมูล: แบ่งปันข้อมูลสินค้าคงคลังและข้อมูลการพยากรณ์กับซัพพลายเออร์ (Vendor-Managed Inventory – VMI) เพื่อให้ซัพพลายเออร์สามารถจัดการการจัดส่งได้เอง ช่วยลดต้นทุนการสั่งซื้อ (Ordering Costs) ของคุณ
  • กระจายแหล่งจัดหา (Supplier Diversification): ลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดียว เพื่อลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดต้นทุนการจัดส่งด่วนและ Stockout ได้อย่างมาก

การจัดการ Inventory Management ที่ดีคือการเปลี่ยนต้นทุนแฝงให้เป็นโอกาสในการสร้างผลกำไรที่แท้จริง

Bluebik Group: พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน

หากองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับปัญหาต้นทุนแฝงจากการจัดการสต็อกที่ไม่มีประสิทธิภาพ การทำ Digital Transformation ด้าน Inventory Management คือกุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืน Bluebik Group คือบริษัทที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันชั้นนำที่พร้อมช่วยองค์กรของคุณออกแบบระบบบริหารสต็อกให้แม่นยำด้วยเทคโนโลยี AI, ERP, Data Analytics และกลยุทธ์ซัพพลายเชนแบบครบวงจร เราช่วยวิเคราะห์และลดต้นทุนที่มองไม่เห็น พร้อมเพิ่มความสามารถในการแข่งขันอย่างเป็นรูปธรรม สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมที่ https://bluebik.com/th/

ติดตามทุกเทรนด์ธุรกิจและนวัตกรรมเทคโนโลยีไปกับเรา

Source:

  • CFO.com – The hidden costs of supply chain disruptions
  • NetSuite – The Ultimate Guide to Raw Materials Inventory Management
  • Investopedia – Inventory Carrying Costs
  • Lean Enterprise Institute – Just-In-Time (JIT) and Inventory Waste

 

2 ธันวาคม 2568

By Bluebik