
ในยุคที่ความผันผวนทางเศรษฐกิจและเหตุการณ์ไม่คาดฝันกลายเป็นเรื่องปกติ Supply Chain Management และ Inventory Management กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ องค์กรที่ต้องการความอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2025/2026 จึงจำเป็นต้องปรับปรุงระบบหลังบ้านให้มีความยืดหยุ่น (Resilience) และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากขึ้น การรู้จักและนำเทรนด์เหล่านี้มาใช้คือหัวใจสำคัญในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน บทความนี้จะเปิดเผย 5 เทรนด์ล่าสุดในห่วงโซ่อุปทานและสินค้าคงคลังที่คุณต้องรู้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต
5 เทรนด์หลักที่กำหนดทิศทาง Inventory & Supply Chain
เทรนด์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยี แต่เป็นแนวคิดเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างความฉลาด (Intelligence) และความยืดหยุ่นให้กับทั้งระบบ
1. การเปลี่ยนผ่านสู่ Agility และ Resilience (ความยืดหยุ่น)
ความยืดหยุ่นได้กลายเป็นปัจจัยที่สำคัญกว่าการลดต้นทุนเพียงอย่างเดียว หลังวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา องค์กรต่างๆ ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาแหล่งผลิตเดียวมากเกินไป
- การสร้างโซ่อุปทานแบบ Multi-Sourcing: การกระจายแหล่งจัดหาวัตถุดิบและฐานการผลิตไปยังหลายประเทศหรือหลายภูมิภาค เพื่อลดผลกระทบหากเกิดการหยุดชะงักในจุดใดจุดหนึ่ง
- การวางแผนสถานการณ์ (Scenario Planning): การใช้เครื่องมือจำลองสถานการณ์ (Simulation Tools) เพื่อทดสอบความสามารถของระบบหลังบ้านในการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การขึ้นภาษี การขาดแคลนแรงงาน หรือภัยพิบัติธรรมชาติ
2. การผนวก AI และ Machine Learning เข้ากับการบริหารสินค้าคงคลัง
ปัญญาประดิษฐ์กำลังยกระดับการจัดการ Inventory Management จากการคาดการณ์แบบเดิมไปสู่การพยากรณ์เชิงคาดการณ์ (Predictive Forecasting)
- การพยากรณ์ความต้องการเชิงลึก (Hyper-Accurate Demand Forecasting): AI วิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ซับซ้อน เช่น ข้อมูลโซเชียลมีเดีย สภาพอากาศ และกิจกรรมของคู่แข่ง เพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าในระดับผลิตภัณฑ์และภูมิภาคที่ละเอียดกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
- การเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าคงคลัง (Inventory Optimization): ระบบ Machine Learning จะกำหนดจุดสั่งซื้อซ้ำ (Reorder Point) และปริมาณสต็อกที่เหมาะสมที่สุดแบบเรียลไทม์ ช่วยลดสินค้าค้างสต็อก (Dead Stock) และเพิ่มอัตราการหมุนเวียนสินค้า
3. การมองเห็นข้อมูลแบบ End-to-End (Visibility)
ความสามารถในการติดตามสินค้าและข้อมูลในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน (ตั้งแต่ซัพพลายเออร์จนถึงลูกค้า) ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ เทคโนโลยีหลักที่เข้ามามีบทบาทคือ IoT และ Cloud Computing
- Real-Time Tracking: การใช้เซนเซอร์ IoT และระบบคลาวด์ทำให้ผู้จัดการ Supply Chain Management สามารถตรวจสอบสถานะการผลิต การขนส่ง และเงื่อนไขของสินค้า (เช่น อุณหภูมิ) ได้ตลอดเวลา
- Digital Twin: การสร้างแบบจำลองดิจิทัลของโรงงาน คลังสินค้า หรือห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ช่วยให้สามารถทดสอบการเปลี่ยนแปลงและประเมินผลกระทบก่อนการดำเนินการจริง ทำให้การตัดสินใจมีความเสี่ยงต่ำ
ผลกระทบของเทรนด์ต่อระบบหลังบ้าน (Back-End Systems)
การนำเทรนด์เหล่านี้มาใช้ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่คือการปฏิรูปวิธีการทำงานของระบบหลังบ้านทั้งหมด
1. การเปลี่ยนจาก ERP สู่ Ecosystem ที่เชื่อมโยง
ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) แบบดั้งเดิมที่แยกส่วนกำลังถูกแทนที่ด้วยระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกับระบบของซัพพลายเออร์, ผู้ขนส่ง, และลูกค้าผ่าน API และแพลตฟอร์มคลาวด์
- การผสานรวมข้อมูล (Data Integration): ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ระบบ CRM, ระบบการเงิน, และ IoT ถูกรวมไว้ในที่เดียว ทำให้การวิเคราะห์ Supply Chain Management และการวางแผน Inventory Management มีความแม่นยำสูงขึ้น
- ความเร็วในการประมวลผล: ระบบคลาวด์ช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่มาจาก AI และ IoT ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าเป็นไปแบบเรียลไทม์
2. Hyper-Automation ในคลังสินค้า
การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Automation) ในคลังสินค้ากลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเร็วในการเติมเต็มคำสั่งซื้อ
- Robotics for Picking & Packing: หุ่นยนต์เข้ามาทำหน้าที่ในการหยิบและบรรจุสินค้าแทนมนุษย์ ซึ่งไม่เพียงแต่เร็วกว่า แต่ยังลดความเสียหายของสินค้าได้ด้วย
- Automated Guided Vehicles (AGVs) และ Drones: ใช้ในการเคลื่อนย้ายสินค้าภายในคลังสินค้าและตรวจสอบสต็อกสินค้าทางอากาศ ทำให้การนับสต็อก (Cycle Counting) เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
การปรับตัวสู่โซ่อุปทานยุคใหม่
การปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ปี 2025/2026 ต้องเริ่มต้นจากการลงทุนในบุคลากรและเทคโนโลยีที่เหมาะสม องค์กรต้องเปลี่ยนมุมมองจากการมอง Supply Chain เป็น “ต้นทุน” ไปสู่การมองว่าเป็น “ขุมพลังสร้างความได้เปรียบ” โดยเน้นการลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถรองรับการบูรณาการของ AI, IoT, และ Cloud เพื่อก้าวไปสู่การเป็น Digital Supply Chain อย่างสมบูรณ์แบบ
Bluebik Group: พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
หากองค์กรของคุณกำลังมองหาแนวทางในการพลิกโฉม Supply Chain และระบบหลังบ้านให้พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต Bluebik Group ที่ปรึกษาชั้นนำด้านกลยุทธ์องค์กรและ Digital Transformation พร้อมเป็นพันธมิตรในการออกแบบระบบ Inventory & Supply Chain ยุคใหม่ ที่เน้น Resilience, Intelligence และ Automation ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง Bluebik จะช่วยผสานเทคโนโลยี AI, IoT, Cloud และ Data Analytics เพื่อยกระดับกระบวนการหลังบ้านให้ตอบโจทย์ทั้งประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bluebik.com/th/
ติดตามทุกเทรนด์ธุรกิจและนวัตกรรมเทคโนโลยีไปกับเรา
Source:
- McKinsey & Company – Future supply chains: resilience, agility, sustainability
- Gartner – Gartner’s Top 10 Strategic Technology Trends for 2025
- Gartner – Gartner Identifies Top Supply Chain Technology Trends for 2025
- Deloitte Insights – The future of supply chain post-pandemic