Sustainability

โลจิสติกส์แบบยั่งยืน (Sustainable Supply Chain): จะเริ่มยังไงให้ระบบหลังบ้านตอบโจทย์

2 ธันวาคม 2568

By Bluebik

3 Mins Read

โลจิสติกส์แบบยั่งยืน (Sustainable Supply Chain): จะเริ่มยังไงให้ระบบหลังบ้านตอบโจทย์

ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การดำเนินธุรกิจแบบเดิมที่มุ่งเน้นแต่ผลกำไรอาจไม่เพียงพออีกต่อไป โลจิสติกส์แบบยั่งยืน (Sustainable Supply Chain) ได้กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งลดผลกระทบต่อโลกของเรา การเปลี่ยนผ่านไปสู่ห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบทางสังคมจำเป็นต้องเริ่มต้นที่ระบบหลังบ้านขององค์กร บทความนี้จะเจาะลึกว่าการสร้าง Sustainable Supply Chain ต้องเริ่มอย่างไร และมีองค์ประกอบสำคัญอะไรบ้าง เพื่อให้ระบบหลังบ้านของคุณตอบโจทย์ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

ทำไมความยั่งยืนจึงเป็นหัวใจสำคัญของ Supply Chain Management?

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ในปัจจุบันไม่ได้วัดกันแค่ประสิทธิภาพและความเร็วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความยั่งยืนด้วย ธุรกิจที่ใส่ใจในเรื่องนี้จะได้รับประโยชน์มหาศาล:

  • ลดความเสี่ยง (Risk Mitigation): การตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบอย่างเข้มงวดช่วยลดความเสี่ยงด้านจริยธรรม เช่น การใช้แรงงานผิดกฎหมาย หรือการทำลายสิ่งแวดล้อม
  • ประหยัดต้นทุนในระยะยาว: การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ลดของเสีย และการใช้พลังงานทางเลือก อาจมีต้นทุนเริ่มต้น แต่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการจัดการของเสียในระยะยาว
  • สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: ผู้บริโภคยุคใหม่พร้อมที่จะสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งช่วยเพิ่มความภักดีของลูกค้าและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

องค์ประกอบสำคัญในการสร้างระบบหลังบ้านที่ยั่งยืน

การสร้าง Sustainable Supply Chain ต้องเป็นการบูรณาการความยั่งยืนเข้าไปในทุกขั้นตอนของกระบวนการ supply chain management ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

1. การจัดซื้อจัดจ้างอย่างรับผิดชอบ (Sustainable Sourcing)

นี่คือจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อุปทาน และเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการควบคุมความยั่งยืน:

  • การตรวจสอบซัพพลายเออร์: คัดเลือกซัพพลายเออร์ที่ผ่านการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น ISO 14001) และด้านแรงงานที่เป็นธรรม
  • การใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: เน้นการใช้วัสดุรีไซเคิล (Recycled Materials), วัสดุที่ย่อยสลายได้ (Biodegradable), หรือวัตถุดิบที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืน (Sustainably Sourced) เช่น ไม้ที่ได้รับการรับรองจาก FSC
  • การลดปริมาณของเสียที่ต้นทาง: ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นในการขนส่งวัตถุดิบ

2. การจัดการคลังสินค้าและสินค้าคงคลังอย่างชาญฉลาด (Sustainable Inventory Management)

การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management) ที่แม่นยำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมช่วยลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพ:

  • การใช้เทคโนโลยีคาดการณ์ความต้องการ: ใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงเพื่อพยากรณ์ความต้องการของตลาดได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดปัญหาสินค้าเหลือค้าง (Overstocking) และสินค้าหมดอายุ (Obsolescence)
  • การเพิ่มประสิทธิภาพคลังสินค้า: ปรับเปลี่ยนคลังสินค้าให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ไฟ LED, การติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาคลังสินค้า หรือการใช้ระบบอัตโนมัติที่ประหยัดพลังงาน
  • การลดพื้นที่ว่างในบรรจุภัณฑ์: ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีขนาดเหมาะสมกับสินค้าเพื่อลดอากาศที่ไม่จำเป็นในการขนส่ง

3. โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)

การขนส่งเป็นแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ การลดผลกระทบจึงเป็นสิ่งจำเป็น:

  • การเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางการขนส่ง (Route Optimization): ใช้ซอฟต์แวร์เพื่อวางแผนเส้นทางที่สั้นและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่สุด
  • การปรับเปลี่ยนยานพาหนะ: เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก (เช่น Biofuel) สำหรับการขนส่ง
  • การรวมการขนส่ง (Consolidation): รวบรวมสินค้าเพื่อขนส่งในเที่ยวเดียว (Full Truckload – FTL) แทนการขนส่งแบบเต็มคัน (Less-than-Truckload – LTL) เพื่อลดจำนวนเที่ยววิ่ง

4. การจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Management)

การขยายความรับผิดชอบไปยังสินค้าที่หมดอายุการใช้งานแล้ว:

  • Reverse Logistics: การพัฒนาระบบการส่งคืนสินค้าและการรีไซเคิล (Recycling) ที่มีประสิทธิภาพ
  • Circular Economy: ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) หรือนำไปผลิตใหม่ได้ (Remanufacturing) เพื่อลดการทิ้งเป็นขยะ

จุดเริ่มต้นที่ต้องทำทันที: การวัดผลและการใช้เทคโนโลยี

การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนต้องเริ่มต้นด้วยการวัดผลและบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับระบบหลังบ้าน

  • ตั้งตัวชี้วัดความยั่งยืน (KPIs): กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น อัตราการปล่อยคาร์บอนต่อหน่วยสินค้า, ปริมาณของเสียที่ถูกนำไปรีไซเคิล, หรือสัดส่วนของการใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืน
  • บูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล: ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลและระบบ IoT เพื่อติดตามข้อมูลการปล่อยมลพิษ, การใช้พลังงาน, และความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่การปรับปรุง Logistics เท่านั้น แต่เป็นการยกเครื่อง supply chain management ทั้งระบบเพื่อความยั่งยืน

Bluebik Group: พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน

การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบโลจิสติกส์แบบยั่งยืนต้องอาศัยมากกว่าความตั้งใจ แต่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยีที่เข้าใจภาพรวมของธุรกิจอย่างลึกซึ้ง Bluebik Group คือบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้าน Digital Transformation และ Sustainable Supply Chain Strategy ที่พร้อมช่วยองค์กรออกแบบระบบหลังบ้านให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้าน ESG และ Net Zero ด้วยประสบการณ์จากโปรเจกต์ระดับองค์กรขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ Bluebik สามารถช่วยคุณยกระดับห่วงโซ่อุปทานให้แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์โลกธุรกิจใหม่อย่างแท้จริง เยี่ยมชมเพิ่มเติมได้ที่ https://bluebik.com/th/

 

ติดตามทุกเทรนด์ธุรกิจและนวัตกรรมเทคโนโลยีไปกับเรา

Source:

  • Harvard Business Review – Building a Resilient Supply Chain
  • McKinsey & Company – Risk, resilience, and rebalancing in global value chains
  • Deloitte Insights – Restructuring the supply base: Prioritizing a resilient, yet efficient supply chain
  • World Economic Forum – Resiliency Compass: Navigating Global Value Chain Disruption in an Age of Uncertainty

2 ธันวาคม 2568

By Bluebik