ปัจจุบันช่องทางออนไลน์กลายเป็นช่องทางสำคัญในการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของและการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ จึงทำให้ธุรกิจต้องมุ่งสู่การปรับให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ
โดยทั่วไปแล้ว การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ประกอบด้วย 3 ขั้นหลัก ๆ เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนถ่ายการเก็บข้อมูลมาอยู่ในรูปแบบดิจิทัล (Digitization) ถัดไป คือ การปรับกระบวนการทำงานขึ้นมาอยู่บนระบบดิจิทัล (Digitalization) เช่น การเอาระบบ ERP, CRM มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงาน และขั้นที่สาม คือ การปรับเปลี่ยนรูปแบบทางธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยสร้างจุดแข็งให้องค์กร เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ หรือ Digital Transformation
อย่างไรก็ตาม การทำ Digital Transformation ไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นแบบครั้งเดียวจบ แต่เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Exponential Growth) ธุรกิจจึงต้องปรับตัวอยู่เสมอ

5 เทรนด์ที่จะขับเคลื่อนการทำ Digital Transformation
สำหรับปี 2022 บลูบิค (Bluebik) ในฐานะที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร มองว่า 5 เทรนด์ที่จะขับเคลื่อนการทำ Digital Transformation ประกอบด้วย 1. การใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (AI-Driven Advanced Analytics) 2. การย้ายโครงสร้างระบบขึ้นไปบนคลาวด์ (Cloud Migration) 3. การสร้างประสบการณ์ลูกค้าให้เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน (Unified Experience) 4. การนำหลัก Agile มาบริหารจัดการองค์กร (Agile at Scale) และ 5. การปรับรูปแบบธุรกิจสู่การกระจายอำนาจการตัดสินใจ (Decentralized Business Model)
1. การใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (AI-Driven Advanced Analytics)
การนำ AI และ Machine Learning มาใช้ในชีวิตประจำวัน เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น และกำลังเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามอง เพราะสามารถยกระดับศักยภาพองค์กรได้อย่างมหาศาล โดยธุรกิจควรเริ่มพิจารณาการนำ Machine Learning ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของ AI มาใช้งาน เพื่อเทรนโมเดลวิเคราะห์ข้อมูลให้ฉลาดขึ้นและแม่นยำยิ่งขึ้น ในยุคที่รูปแบบข้อมูลมีความหลากหลาย เช่น ข้อความ วิดีโอ เสียง เพื่อแปลงข้อมูลให้เข้าใจง่ายและนำไปต่อยอดธุรกิจได้ง่ายขึ้น
ในต่างประเทศ ธุรกิจการเงินถือเป็นตัวอย่างที่เอา Machine Learning มาใช้ เพื่อประเมินความเสี่ยงและประกอบการตัดสินใจ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากวิดีโอ เพื่อดูการแสดงสีหน้าท่าทางของลูกค้า ให้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้นของลูกค้าแต่ละราย
2. การย้ายโครงสร้างระบบขึ้นไปบนคลาวด์ (Cloud Migration)
ในยุคที่การทำธุรกิจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การย้ายโครงสร้างระบบ แหล่งเก็บข้อมูล หรือการดำเนินงานไปไว้บนคลาวด์ สามารถช่วยลดความเสี่ยงของธุรกิจได้ โดยเฉพาะในแง่ของค่าใช้จ่าย เนื่องจากไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่รอบเดียวแล้วเสี่ยงเกิดต้นทุนจม (Sunk cost) แต่สามารถเลือกจ่ายค่าเช่าเซิร์ฟเวอร์รายเดือนบนระบบคลาวด์ได้
ไม่เพียงเท่านั้น การใช้คลาวด์ยังสามารถปรับลดความต้องการใช้งานได้ง่าย ยืดหยุ่นเหมาะกับความต้องการธุรกิจที่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยในปัจจุบันระบบคลาวด์มีหลายตัวเลือก ได้แก่ การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและระบบจัดเก็บข้อมูล หรือทำหน้าที่แทน Server (Infrastructure-as-a-Service) หรือ IaaS การให้บริการด้านแพลตฟอร์มสำหรับซอฟต์แวร์ (Platform as a Service) หรือ PaaS รวมถึงการให้บริการซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน (Software as a Service) หรือ SaaS

สำหรับเทรนด์ที่เกือบทุกธุรกิจกำลังมุ่งไปคือ Hybrid Cloud ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมกับการใช้ระบบคลาวด์ เนื่องจากความต้องการเก็บข้อมูลบางส่วนที่ไว้กับองค์กร (On Premise) ทั้งด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยหรือข้อกำหนดบางประการ ควบคู่กับการใช้คลาวด์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความรวดเร็วในการทำธุรกิจ
3. การสร้างประสบการณ์ลูกค้าให้เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน (Unified Experience)
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ธุรกิจกำลังเผชิญความท้าทายในการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น เนื่องจากช่องทางการเข้าถึงสินค้าและบริการมีหลากหลายช่องทาง ทั้งออนไลน์ ที่มีทั้งอี-คอมเมิร์ซ โซเชียลคอมเมิร์ซ หรือร้านค้าออฟไลน์ที่คนยังไปจับจ่ายซื้อสินค้า ซึ่งให้ประสบการณ์ใช้งานที่ไม่เหมือนกัน และผู้บริโภคเองรับรู้ข่าวสารข้อมูลที่ต่างกันด้วย ส่งผลให้เกิด Channel Complexity ที่สร้างความสับสนและต้องมีการบริหารจัดการที่ดี เพราะถ้าจัดการไม่ดีธุรกิจอาจไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และไม่สามารถสร้างประสบการณ์ที่เหมาะสมให้ลูกค้า ส่วนลูกค้าเองก็มีความต้องการมากขึ้น ความคาดหวังสูงขึ้น ธุรกิจจึงต้องสามารถตอบสนองสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้
ดังนั้นการสร้าง Unified Experience จึงกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์ลูกค้า และตอบโจทย์ความต้องการในทุกช่องทาง (Unified-Channel) ต่างจากปัจจุบันที่เพียงขยายช่องทางการให้บริการที่หลากหลาย (Omni-Channel) ธุรกิจจึงต้องเริ่มจากการลงทุนสร้างระบบเก็บข้อมูลที่ดี เพื่อเก็บข้อมูลให้ได้ในทุก Touchpoint
4. การนำหลัก Agile มาบริหารจัดการองค์กร (Agile at Scale)
การทำธุรกิจยุคใหม่ไม่ใช่แค่ต้องเร็ว แต่ต้องยืดหยุ่นด้วย เนื่องจากโลกและความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไว สิ่งที่เคยทำแล้วได้ผลลัพธ์ดีในอดีต อาจใช้ไม่ได้กับปัจจุบันอีกต่อไป ดังนั้นการนำหลัก Agile มาปรับใช้กับการดำเนินงานจึงมีความจำเป็นมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่สำหรับงานโปรเจ็กต์เดียว แต่ขยายครอบคลุมทั้งองค์กร (Agile at Scale) เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้ทันความต้องการของตลาด และยืดหยุ่นพร้อมปรับเปลี่ยนเมื่อเกิดเทรนด์ใหม่ ๆ
จุดเริ่มของ Agile ต้องเริ่มต้นที่การปรับ Mindset ของพนักงานในองค์กร กระตุ้นให้กล้าทดลองสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และเก็บฟีดแบกไปพัฒนาต่อ รวมไปถึงการวางโครงสร้างทีมให้สามารถทำงานอย่างรวดเร็ว โดยให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละส่วนที่ต่างกันมาอยู่ทีมเดียวกัน และแบ่งงานออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อส่งมอบงานไปทีละขั้น

5. การปรับรูปแบบธุรกิจให้เป็นแบบ Decentralized Business Model
เมื่อโลกเปลี่ยนไป รูปแบบโครงสร้างองค์กรแบบรวมศูนย์ (Centralized Model) อาจไม่ได้มีประสิทธิภาพมากเท่ากับในอดีต ทำให้องค์กรควรเริ่มปรับรูปแบบธุรกิจให้เป็นแบบ Decentralized ซึ่งเปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการดำเนินงานต่าง ๆ ของธุรกิจ เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงเพิ่มความยืดหยุ่น คล่องตัว และปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว
โดย Decentralized Business Model สามารถช่วยลดตัวกลางและขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ ลง จากเดิมที่ต้องรอการตัดสินใจจากบุคคลเดียว ไปเป็นการกระจายให้ผู้ที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จึงทำให้การแก้ปัญหาต่าง ๆ รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และทันสถานการณ์
ปัจจุบันเทคโนโลยี Blockchain เอื้อต่อการนำ Decentralized Business Model มาปรับใช้งานจริงกับองค์กร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ Decentralized Finance หรือ DeFi ระบบที่ช่วยตัดตัวกลางในการทำธุรกรรมทางการเงินออกไป และลดต้นทุนในการทำธุรกรรม ซึ่งเปิดให้คนเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินและตัวเลือกการลงทุนใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้งาน Smart Contract หรือสัญญาอัจฉริยะ โดยเขียนโค้ดหรือโปรแกรมให้สามารถทำงานได้ตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ตั้งเอาไว้ได้อย่างเที่ยงตรง ว่องไว และเชื่อถือได้
ทั้งนี้ 5 เทรนด์ที่กล่าวมาข้างต้นกำลังเป็นที่จับตา เพื่อต่อยอดไปสู่การทรานส์ฟอร์มได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการวางกลยุทธ์ โดยธุรกิจต้องลองพิจารณาดูว่า สามารถนำเทรนด์เหล่านี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสม เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดการทำธุรกิจ สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ และสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต
สำหรับธุรกิจที่ต้องการวางกลยุทธ์ด้าน Digital Transformation เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตให้องค์กร บลูบิค (Bluebik) มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data & Advanced Analytics ที่สามารถให้บริการโซลูชันครบวงจร และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ตั้งแต่ระดับกลยุทธ์ไปจนถึงการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาได้ที่ [email protected] หรือโทรศัพท์ 02-636-7011