ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในธุรกิจประกันภัย ซึ่งได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคดิจิทัล ทำให้หลายองค์กรในภาคอุตสาหกรรมต่างเร่งค้นหาแนวทาง เพื่อปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกองค์กรจะประสบความสำเร็จในการดำเนินการดังกล่าว เนื่องด้วยข้อจำกัดเรื่องต้นทุน ศักยภาพของบุคลากร และข้อจำกัดในด้านอื่น ๆ ดังนั้น การปรับใช้เทคโนโลยีอย่างมีกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต้องทำ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจขยายตัวอย่างยั่งยืน และสามารถขึ้นเป็นผู้นำในภาคอุตสาหกรรมได้

3 แนวทางสู่การขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจประกันภัย
สำหรับกุญแจสู่การขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจประกันภัย อย่างการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ หรือ Business Ecosystem เพื่อให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยธุรกิจประกันควรดำเนินการผ่าน 3 แนวทาง ดังนี้
1. เชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
การแสวงหาพันธมิตรจะช่วยให้ธุรกิจประกัน สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยสามารถนำเสนอกรมธรรม์ประเภทใหม่ ๆ จากกรมธรรม์ประกันชีวิตเพียงอย่างเดียว สู่กรมธรรม์แบบครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ไปจนถึงประกันการเดินทาง ตัวอย่างเช่น กรณี Allianz ที่จับมือเป็นพันธมิตรกับ Baidu บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน ทำให้ Allianz สามารถใช้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์จาก Baidu นำเสนอประกันการเดินทางให้กับผู้ที่ซื้อตั๋วเครื่องบิน
นอกจากนี้ การสร้างเครือข่ายพันธมิตรยังช่วยขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้า จากเดิมที่เข้าถึงผ่านช่องทางของบริษัทเพียงอย่างเดียวไปสู่แพลตฟอร์มอื่น ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิตที่จับมือเป็นพันธมิตรกับ Shopee แพลตฟอร์ม E-Commerce รายใหญ่ เพื่อจำหน่ายกรมธรรม์ประกันสุขภาพออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม ถือเป็นการร่วมมือที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ เมืองไทยประกันชีวิตมีช่องทางการขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มของ Shopee ด้าน Shopee สามารถขยายฐานผู้ใช้งานจากลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิตได้
2. ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีประกันภัย (InsurTech)
การเข้าไปลงทุนในบริษัท InsurTech ที่มีความพร้อมในด้านเทคโนโลยี จะช่วยให้บริษัทประกันร่นระยะเวลาในการพัฒนาระบบขึ้นมาใหม่ เนื่องจากบริษัทฯ จะสามารถนำระบบและเทคโนโลยีของธุรกิจ InsurTech ที่มีการพัฒนามาระดับหนึ่งไปปรับใช้และพัฒนาต่อได้
ตัวอย่างเช่น กรณีบริษัท Ping An ผู้ดำเนินธุรกิจประกันภัยรายใหญ่ของจีน ที่เข้าไปลงทุนในบริษัท InsurTech หลายแห่ง ทั้ง Lufax แพลตฟอร์มบริหารการเงินส่วนบุคคลออนไลน์ และ OneConnect ฟินเทคที่เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนและ Big Data ทำให้ Ping An สามารถสร้างระบบนิเวศธุรกิจของตัวเองได้ ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายให้ผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เชื่อมโยงกัน และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท
อย่างการใช้ Artificial Intelligence (AI) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาช่วยทำให้ระบบการดำเนินงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างอัตโนมัติ รวมถึงการนำระบบ Cloud Computing เข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบ และสามารถรองรับฐานข้อมูลของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาระบบ (Research and Development)
การลงทุนพัฒนาระบบและนวัตกรรมมีความสำคัญ เพื่อก่อให้เกิดระบบนิเวศทางธุรกิจที่ยั่งยืนได้ในระยะยาว เนื่องจากจะทำให้องค์กรมีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม
ตัวอย่างเช่น บริษัท Hanwha ธุรกิจประกันภัยชั้นนำในเกาหลีใต้ ที่ทุ่มเงินลงทุนเพื่อพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics System) เพื่อพยายามทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าในเชิงลึก จนสามารถพัฒนาสินค้าและบริการออกมาได้ตรงใจลูกค้ามากที่สุด เช่น แอปพลิเคชันของบริษัทที่ช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความต้องการของลูกค้าในขณะนั้น รวมถึงพัฒนาระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการเข้ารหัสความปลอดภัยแบบรัดกุม เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้นผ่านโทรศัพท์มือถือ

3 แนวทางเตรียมความพร้อมสร้างความได้เปรียบและเสริมแกร่งให้ธุรกิจประกันภัย
นอกจากการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจแล้ว การเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้านที่มีความสัมพันธ์กับเทคโนโลยี ยังมีความสำคัญต่อธุรกิจประกันภัยเช่นกัน โดยแนวทางดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ดังนี้
1. ทลายขีดจำกัดของธุรกิจ (Boundaryless)
ด้วยการพยายามลดช่องว่างและข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ควรมีการเตรียมพร้อมหากต้องเพิ่มการเชื่อมต่อระบบในอนาคต เพื่อพัฒนาให้ระบบการดำเนินงานต่าง ๆ มีความคล่องตัวมากขึ้นและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เช่น การสร้างระบบ Open API ที่เป็นการเปิดช่องทางการเชื่อมต่อ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบต่าง ๆ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น หรือการวางระบบแบบ Micro Service ที่เป็นการแยกระบบต่าง ๆ ออกมาเป็นส่วนย่อย ทำให้สามารถแก้ไขหรือพัฒนาระบบส่วนนั้นได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
2. ปรับธุรกิจให้ยืดหยุ่น (Adaptable)
เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา เช่น การใช้ Cloud Computing มาประยุกต์ใช้ในองค์กร เพื่อให้สามารถปรับลดหรือเพิ่มปริมาณการใช้งานให้เหมาะสมได้ในอนาคต
3. ปรับวิธีคิดของคนในองค์กรให้พร้อมรับกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ (Radically Human)
โดยนำหลักคิดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือ Agile Mindset ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากการที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้กับหลาย ๆ ส่วนในองค์กรนั้น ต้องอาศัยความรวดเร็วและต้องมีแนวคิดที่เปิดกว้าง ดังนั้นวิธีคิดของคนในองค์กรจึงสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องของเทคโนโลยีหรือระบบ
การเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีและปรับธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ คือ หัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจประกันภัยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอุตสาหกรรมประกันมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก หากไม่วางแผนไว้ตั้งแต่วันนี้ ก็ยากที่จะตามผู้เล่นรายอื่นได้ทัน
แน่นอนว่า การวางแผนให้เหมาะสมกับองค์กรนั้น ต้องทบทวนเพื่อประเมินศักยภาพองค์กรของตนเองด้วย เพื่อทำให้ได้ทราบแน่ชัดว่า จุดเด่น และช่องว่างขององค์กรคือสิ่งใด และเทคโนโลยีประเภทไหนที่ควรนำมาปรับใช้ เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดและจะได้เลือกเทคโนโลยีนั้น ๆ มาเป็นส่วนผสมในการสร้างนวัตกรรมและมอบให้กับลูกค้า เพื่อตอบสนองต่อความต้องการให้ดีที่สุด
สำหรับธุรกิจที่ต้องการวางกลยุทธ์ด้าน Data และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตให้องค์กร บลูบิค (Bluebik) ในฐานะที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data & Advanced Analytics ที่สามารถให้บริการโซลูชันครบวงจร และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ตั้งแต่ระดับกลยุทธ์ไปจนถึงการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาได้ที่ [email protected] หรือโทรศัพท์ 02-636-7011