fbpx
บทความ 28 กุมภาพันธ์ 2022

Disruptive Growth กลยุทธ์สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด พลิกชะตาธุรกิจจากผู้รอดวิกฤตสู่ผู้ชนะ

ท่ามกลางวิกฤตโควิด หลายธุรกิจต่างผ่านประสบการณ์ทรานส์ฟอร์มองค์กร เพื่อหาทางให้ตัวเองอยู่รอดให้ได้ แต่แค่อยู่รอดอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมองไปถึงเรื่องการเติบโต (Growth) ของธุรกิจด้วยว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรสามารถเติบโตอย่างแท้จริงในระยะยาว

ท่ามกลางความไม่แน่นอนหลายอย่าง ทั้งจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง และโลกธุรกิจที่เผชิญการเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นกว่าในอดีต แค่การเติบโตแบบธรรมดาอาจไม่พอ แต่ยังต้องคิดไปถึงการเติบโตที่เหนือกว่าอีกขั้นที่เรียกกว่า Disruptive Growth

ลงทุนธุรกิจอย่างชาญฉลาด ทางลัดทลายขีดจำกัดการเติบโต

การลงทุนถือเป็นส่วนสำคัญสู่การสร้าง Disruptive Growth องค์กรจึงต้องบริหารการลงทุนธุรกิจในมือให้ยังคงรักษาความสามารถในการสร้างมูลค่าได้ ซึ่งในการดูแลพอร์ตธุรกิจ ต้องมองให้ออกว่าธุรกิจไหนที่เป็นธุรกิจหลัก และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แล้วธุรกิจไหนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ไปจนถึงคาดการณ์อนาคตการเติบโตของแต่ละธุรกิจในอีก 3 ปี หรือ 5 ปีไว้อย่างไรบ้าง

สำหรับปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณาเพื่อบริหารจัดการพอร์ตธุรกิจ แบ่งออกเป็น 2 แกนหลัก คือ  

  • ผลการดำเนินงานทางการเงิน (Financial Performance) เช่น ผลตอบแทนจากธุรกิจในรูปตัวเงินและความสามารถในการสร้างรายได้ของธุรกิจ รวมถึงคาดการณ์มูลค่าที่ธุรกิจสามารถสร้างได้ ทั้งในแง่มูลค่าทางธุรกิจและความเหมาะสมเชิงกลยุทธ์
  • ความน่าสนใจของตลาด (Market Attractiveness) หรือ อัตราการเติบโตของตลาดสินค้า (Market Growth Rate) ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวของตลาดสินค้าและบริการทั้งตลาด ไม่ใช่ของบริษัท เพื่อใช้พิจารณาแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในอนาคต รวมไปถึงส่วนแบ่งในตลาดที่เกี่ยวข้องและความสามารถในการแข่งขัน

โดยเมื่อนำทั้ง 2 แกนมาพิจารณาร่วมกัน สามารถจำแนกธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

  1. Harvest Business
    ธุรกิจที่ทำเงินและเก็บเกี่ยวผลตอบแทนในปัจจุบัน

ธุรกิจในกลุ่มนี้มีผลการดำเนินงานทางการเงินอยู่ในระดับสูง แต่ความน่าสนใจของตลาดต่ำ ซึ่งสามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนจากการลงทุนได้ในระยะสั้น แต่เมื่อพิจารณาในด้านความสามารถในการแข่งขันแล้ว กลับอยู่ในช่วงการถดถอยระยะยาว และอาจเสี่ยงเสียมูลค่าของธุรกิจไป ดังนั้นเพื่อให้ยังสามารถรักษามูลค่าได้ จึงต้องอาจควบรวมกับธุรกิจอื่นๆ และเพิ่มกระแสเงินสดอิสระให้ได้มากที่สุด (Free Cash Flow) เพื่อให้สามารถนำเงินสดไปใช้ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยในท้ายที่สุดแล้ว ธุรกิจกลุ่มนี้อาจกลายเป็นตัวเลือกที่ต้องขายกิจการในอนาคต หากมูลค่าที่เหลืออยู่สามารถทำเงินได้

  1. Growth Engine
    ธุรกิจที่ต้องให้ความสำคัญลำดับแรก และจัดสรรเงินมาลงทุนมากที่สุด

ธุรกิจกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานทางการเงินแข็งแกร่งและยังมีความน่าสนใจของตลาดสูง ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนมูลค่าของพอร์ตธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องในระยะยาว ดังนั้นจึงควรเน้นลงทุนในธุรกิจกลุ่มนี้เป็นหลัก โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตจากภายใน (Organic Growth) ค่อนข้างเร็ว และเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้บริษัทกลายเป็นผู้นำในตลาด

  1. Divest Business
    ธุรกิจที่ต้องถอนการลงทุน หรือหาทางดึงมูลค่ากลับไปสู่ธุรกิจหลัก

คงกล่าวได้ว่าเป็นธุรกิจกลุ่มที่ตรงกันข้ามกับ Growth Engine อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากทั้งผลการดำเนินงานทางการเงินและความน่าสนใจของตลาดอยู่ในระดับต่ำทั้งคู่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว อาจกลายเป็นตัวทำลายมูลค่าของพอร์ตธุรกิจในปัจจุบัน จึงต้องมีการปรับโครงสร้างหรือขายกิจการทิ้งเพื่อหาทางดึงมูลค่ากลับมา ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเพื่อให้สร้างกำไร และการบริหารจัดการเงินอย่างเข้มงวดเพื่อเพิ่มกระแสเงินสดอิสระ 

  1. Growth Funder
    ธุรกิจที่ต้องบ่มเพาะการเติบโต และลงทุนเพื่ออนาคต

สำหรับกลุ่มสุดท้ายเป็นธุรกิจที่ผลการดำเนินงานทางการเงินยังไม่โดดเด่นมากนัก แต่มีความน่าสนใจของตลาดสูง แม้ว่าอัตราการเติบโตจากภายในยังไม่สูงเทียบเท่ากลุ่ม Growth Engine แต่มีศักยภาพในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้นจึงต้องมีการจัดสรรเงินทุนเพื่อหล่อเลี้ยงการเติบโตและช่วยสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนกลับมา 

แน่นอนว่าการทรานส์ฟอร์มสู่การสร้าง Disruptive Growth คงไม่ใช่เรื่องง่าย ธุรกิจจึงควรวางแผนขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมีกลยุทธ์ ซึ่งควรเริ่มตั้งแต่การวางรากฐานการเติบโตให้มั่นคง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นการวางโมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง หาทางลดต้นทุนในส่วนที่ไม่จำเป็นลง และลงทุนในสิ่งที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว เมื่อรากฐานแข็งแรงแล้ว ถึงเวลามองหาแนวทางสร้างมูลค่าเพิ่ม ขยับไปสู่การลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อต่อยอดขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ

กางแนวทางสร้าง Disruptive Growth

ตามที่กล่าวไปแล้วว่า Disruptive Growth เป็นการสร้างการเติบโตจากการถูกดิสรัป ธุรกิจจึงจำเป็นต้องทรานส์ฟอร์มและปรับตัวไปสู่เส้นทางใหม่ๆ คำถามต่อมาคือ หากต้องการประสบความสำเร็จในแนวทางใหม่ดังกล่าวควรต้องผลักดันในด้านไหนบ้าง ซึ่งหลักๆ แล้วควรผลักดันศักยภาพของธุรกิจใน 4 ด้าน ได้แก่

  1. Ecosystem Collaboration

การผสมผสานอีโคซิสเต็มขององค์กรสามารถทำได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่ในแง่กระบวนการดำเนินงาน (Operation) ที่เพิ่มการประสานงานระหว่างทีมงานในองค์กรกับซัพพลายเออร์ หรือการหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเข้ามาช่วยจัดจำหน่ายหรือให้บริการสินค้าและบริการ ไปจนถึงในมุมลูกค้า ที่เรียกว่า Customer Cocreation ด้วยการเปิดให้ลูกค้ามาช่วยเลือกว่าอยากได้สินค้าอะไร ไม่อยากได้อะไร เปรียบเหมือนการให้ลูกค้ามาช่วยออกแบบสินค้าและบริการที่อยากได้

  1. Lock-in and Scalability

การขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพออีกต่อไป ต้องคิดถึงการเพิ่มมูลค่าของลูกค้าแต่ละราย (Customer Lifetime Value) ในระยะยาวให้ได้มากที่สุด ทั้งเพื่อให้ลูกค้าอยู่กับธุรกิจนานที่สุด ซื้อสินค้าและใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การสร้างธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง (Recurring Business) ไปจนถึงการให้จูงใจให้ลูกค้าช่วยแนะนำสินค้าและบริการของเราให้คนอื่นๆ มาใช้งานในวงกว้าง ที่จะต่อยอดสู่การขยายธุรกิจไปสู่บริการใหม่ๆ หรือการเข้าไปแข่งขันในสนามใหม่

  1. As a service

ในยุค Anything as a service ธุรกิจสามารถเปลี่ยนระบบและ Infrastructure ต่างๆ ที่เราดูแลอยู่หรือลงทุนเอาไว้ ให้กลายมาเป็นบริการหนึ่งได้ เช่น Insurance as a service ที่เป็นการปรับรูปแบบประกันจากการเป็นโปรดักส์ให้กลายเป็นบริการ ที่สามารถจ่ายเบี้ยประกันเป็นแพคเกจรายเดือนเพื่อเลือกความคุ้มครองในแบบต่างๆ ได้ หรือธุรกิจโลจิสติกส์ที่ทำให้หน้าร้านหรือระบบขนส่งกลายเป็นแพลตฟอร์มให้คนอื่นๆ มาใช้งาน และเก็บค่าบริการ เป็นต้น 

  1. Investment

การลงทุนในธุรกิจถือเป็นทางลัดที่ช่วยนำไปสู่ Disruptive Growth ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันปรากฏให้เห็นกันมากขึ้น เช่น บริษัทใหญ่เข้าไปลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพการเติบโตสูง หรือบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อนำมาช่วยเสริมการเติบโตของธุรกิจหลัก

คงกล่าวได้ว่าการขับเคลื่อนการเติบโตในโลกธุรกิจยุคใหม่ มีตัวแปรชี้วัดความสำเร็จหลายอย่าง หนึ่งในนั้นเริ่มต้นจากการวางกลยุทธ์ที่ดี ตั้งแต่การสร้างรากฐานการเติบโต การคิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ให้เหมาะกับยุคดิจิทัล การบริหารจัดการการลงทุนในธุรกิจแต่ละส่วนอย่างชาญฉลาด ซึ่งทั้งหมดเป็นกุญแจพลิกธุรกิจที่ทำได้เพียงประคองตัวให้รอดพ้นสภาพวิกฤตก่อนหน้านี้ สู่การกลายเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงในระยะยาว