“ในโลกใบนี้มีคน 2 ประเภท คือคนที่เห็นโอกาส แต่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ กับคนที่เห็นโอกาส แล้วทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองทำได้ เราเป็นคนประเภทที่สอง”
คนที่รู้จักกับ มายลี่–ปรารถนา ฉัตรเจริญพร อ่านแล้วคงพยักหน้าเห็นด้วยทันที เพราะหญิงสาวพลังเหลือล้นคนนี้พิสูจน์ตัวเองตามคำกล่าวนี้มาแล้ว
จากจุดเริ่มต้นที่ตำแหน่ง Senior Consultant ในทีม Management Consulting & Strategy มายลี่ทุ่มเทแรงกายแรงใจจนก้าวขึ้นมาเป็น Consulting Manager และ Manager, CEO Office ได้ภายในเวลาไม่นาน ก่อนจะปิดท้ายการทำงานที่ Bluebik ด้วยตำแหน่ง Associate Director
ในวันนี้ที่เธอเปลี่ยนบทบาทใหม่ไปเป็นนักเรียน MBA แห่ง Fuqua School of Business ที่ Duke University มหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าเป็น Hidden Ivy League และมุ่งมั่นผลิตผู้นำที่สามารถสร้างอิมแพกต์ต่อสังคมได้ เราจึงชวนเธอมาย้อนมองประสบการณ์ทำงานที่ Bluebik ที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้เธอเป็นผู้นำในคลาสเรียนได้แบบสบายๆ
จะเป็น Consultant ทั้งทีก็ต้องเลือกบริษัทที่ใช่
มายลี่รู้ตัวตั้งแต่เรียนจบว่าอยากทำงานเป็น Consultant เพราะเคยฝึกงานและทำงานพาร์ตไทม์ในตำแหน่งนี้มาแล้ว ซึ่งที่บริษัทแรกเธอก็ได้ทำงานเป็น Management Consultant สมใจ แต่พอทำไปได้ราว 1 ปีก็มีทีม HR จาก Bluebik ติดต่อมาและแนะนำว่า Bluebik โฟกัสด้าน Digital & Innovation มายลี่จึงรู้สึกสนใจและตัดสินใจเข้าไปลองคุยดู
และทันทีที่ได้คุยกับพี่โบ๊ท พชร อารยการกุล CEO ของเรา มายลี่ก็รู้เลยว่า Bluebik คือที่ของเธอ
“เรารู้ว่าเราตอบ Case Interview ได้ไม่ดีนัก แต่ตอนพี่โบ๊ทอธิบายว่าเคสแบบนี้ต้องทำอย่างไร เรารู้สึกว่าเขาฉลาดมาก ทั้งความรู้ที่เขามี หรือวิธี Structure ความคิดของเขา แค่คุยกันแป๊บเดียวเราก็ได้เรียนรู้จากเขาแล้ว ถ้าเข้ามาทำงานก็น่าจะได้เรียนรู้จากเขาเยอะมาก
“อีกส่วนหนึ่งเป็นที่ Vibe ด้วย เวลาเราคุยกับใครสักคน เราจะรู้ว่าเราจะทำงานกับคนนี้ได้ไหม ขำมุกประมาณเดียวกันหรือคุยภาษาเดียวกันไหม ซึ่งกับพี่โบ๊ทเรารู้สึกได้ว่าเขาเป็นคน Open ไม่มี Heirarchy ดูเป็น CEO ที่เราจะกล้าพูด กล้าทำงานด้วย ซึ่งพอเข้ามาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ”
แม้เป็นน้องใหม่ก็มีโอกาสได้ Pitch โปรเจกต์ใหญ่
มายลี่เข้ามาทำงานที่ Bluebik ได้จังหวะมาก เพราะเป็นช่วงที่ลูกค้าคนสำคัญติดต่อเข้ามาให้ไป Pitch โปรเจกต์ด้าน Customer Experience เธอจึงได้เข้าไปช่วยคิดช่วยทำตั้งแต่ขั้นตอนการรีเสิร์ช Pain Point ต่างๆ ของผู้ใช้บริการไปจนถึงการวาง Strategy และเตรียม Presentation เพื่อนำเสนอ
แม้ในเวลานั้น Bluebik จะเป็นบริษัทที่ค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับ Consulting Firm เจ้าอื่นๆ ที่แข่งขัน Pitch งานเดียวกัน แต่ทีม Bluebik ก็ทุ่มเทกันสุดตัวจนคว้าโปรเจกต์นั้นมาได้
มายลี่ถือเป็นประจักษ์พยานคนหนึ่งที่ได้เห็น Value สำคัญของ Bluebik ในช่วงที่กำลังก่อร่างสร้างตัว Value ที่ว่านั้นคือการทำงาน Beyond Standards
“มันคือความเป็นพี่โบ๊ทเลย เขาผลักดันทีมมากๆ ถ้าอยากชนะต้องทำมากกว่านี้ ต้องไปให้สุด ต้องคิดให้ Beyond
“พวกเราลงทุนลงแรงกันมาก ถึงขั้นไปทำ Mystery Shopping ที่ร้านคู่แข่งมาพรีเซนต์ให้ลูกค้า เขาก็ว้าวมาก เพราะเราทำงาน Beyond สิ่งที่เขาอยากเห็นในการ Pitch งานไปมาก เราว่านี่เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่ทำให้เราชนะโปรเจกต์เลย
“ดังนั้นหนึ่งใน Key Takeaway ที่เราได้จาก Bluebik คือไม่ใช่แค่ทำงานให้เสร็จๆ ไป แต่ต้องทำงานให้เพอร์เฟกต์”
เห็นโอกาสก็ต้องคว้าไว้แล้วทำให้เต็มที่
หลังจากพิสูจน์ตัวเองในการพิตช์งานโปรเจกต์ใหญ่จนสำเร็จ ก็เป็นมายลี่นี่เองที่ได้รับตำแหน่ง Consulting Manager ลีดทีมทำงานร่วมกับโออาร์อย่างแข็งขัน
มองย้อนกลับไป มายลี่สะท้อนว่าเธอก็มีโมเมนต์ที่รู้สึกหวั่นๆ “เข้ามาไม่นานก็ได้ลีดโปรเจกต์แล้ว เรามองว่าเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส ซึ่งในโลกใบนี้มีคน 2 ประเภท คือคนที่เห็นโอกาส แต่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ กับคนที่เห็นโอกาส แล้วทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองทำได้ เราเป็นคนประเภทที่สอง และต้องขอบคุณพี่โบ๊ทที่ไว้ใจและช่วยไกด์เราตลอดด้วย”
ได้เรียนรู้ ได้ลองทำ ได้พบแพสชั่นยิ่งกว่าเคย
หลังจากนั้นมายลี่ยังมีส่วนร่วมในอีกหลายๆ โปรเจกต์ที่ช่วยลูกค้ารายใหญ่ผสมผสาน Digital Solution เข้ากับ User Experience ให้ประสบการณ์การใช้งานในรูปแบบ Online และ Offline เชื่อมต่อกันอย่างแนบสนิท ในบางโปรเจกต์เธอถึงกับคิด Product ใหม่ให้กับลูกค้าเลยทีเดียว
พอทำงานในฐานะ Consulting Manager มาพักใหญ่ มายลี่ก็เจอ Pain Point อย่างหนึ่งซึ่งคนทำงานสาย Consult อาจเคยสัมผัสกันมาบ้าง นั่นคือการคันไม้คันมืออยากลงมือทำด้วยตัวเอง
“เราอยากลองลงมือ Execute โปรเจกต์อะไรจริงๆ จังๆ ดูบ้าง เพราะส่วนใหญ่เน้นทำเฉพาะ Strategy แล้วช่วงนั้น Bluebik วางแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์พอดี เราก็เลยรู้สึกว่า เราไปช่วยทำให้บริษัทที่เรารักเข้าตลาดดีกว่า ก็เลยขอย้ายไปทำ CEO Office ได้ช่วยพี่โบ๊ทดู Strategy ของ Bluebik ทั้งมุมการ Pitch ให้ Investor การหา Partnership อย่างโออาร์ เราก็ได้ช่วยพี่โบ๊ททำตั้งแต่ Day 1 ทำสัญญา ทำ Process คิด KPI คือได้ลงมือทำจริงๆ”
แต่หลังจากได้ลอง Execute งานสนับสนุนพี่โบ๊ทและช่วยพา Bluebik เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ มายลี่ก็ตัดสินใจกลับมาทำงานสาย Strategy อีกครั้ง
“สุดท้ายเราพบว่าเราชอบทำ Strategy มากกว่า เพราะเป็นคนชอบคิดวิเคราะห์ ชอบออกไอเดีย ชอบคุยกับลูกค้า ชอบทำอะไรที่เร็วและมีจุดจบแน่นอน อย่าง Execution มันจะไม่มีจุดจบ และเหมาะกับคนชอบแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่า
“แล้วพอดีตอนนั้นมีโปรเจกต์ใหญ่ของลูกค้าที่เคยทำงานด้วยเข้ามา เราก็คว้าไว้ เพราะเราทำกับเขามาหลายโปรเจกต์ เรารู้เรื่องเขาดีมาก เลยขอพี่โบ๊ทกลับไปทำ Strategy อีกรอบ ก็เลยได้กลับไปทำในฐานะ Associate Director”
มายลี่บอกว่าโอกาสในการได้ลองย้ายตำแหน่งหน้าที่ไปทำอย่างอื่น รวมถึงความหลากหลายของโปรเจกต์ทำให้เธอทำงานที่ Bluebik ได้นานถึง 5 ปี “เราเริ่มทำงานในฐานะ Consultant ก็จริง แต่ที่นี่เหมือนเราได้เป็นทั้ง Consultant และ Entrepreneur เราได้ร่วมสร้าง BU มาตั้งแต่ยังไม่มีอะไร ได้ไป Pitch งาน ได้ลองทำสัญญา ได้ลอง Recruit คน เราเลยเป็น Consultant ที่เข้าใจลูกค้า เข้าใจผู้ประกอบการมากๆ เป็นจุดเด่นของการทำงานที่ Bluebik เลย”
เรียน MBA ตอบโจทย์ภาพฝันในอนาคต
อันที่จริง มายลี่วางแผนไว้นานแล้วว่าอยากไปเรียน MBA เพราะเห็นภาพในอนาคตของตัวเองชัดเจนว่าอยากเป็น Consultant ที่เก่งกาจขึ้น รวมถึงอยากเปิดประตูแห่งโอกาสให้ตัวเอง เพราะการจะก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารในบริษัทชั้นนำล้วนต้องมีดีกรีการศึกษาที่สูงขึ้นเป็นบันไดให้ไต่ขึ้นไปทั้งนั้น
เธอจึงเริ่มต้นเตรียมตัวอ่านหนังสือเตรียมสอบ GMAT ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ และค่อยๆ ทยอยสอบให้ได้คะแนนดีๆ ระหว่างที่ทำงานเป็น Consultant ไปด้วย ซึ่งถ้าใครเคยสัมผัสงานสายนี้จะเข้าใจเลยว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องอาศัยแรงใจเยอะกว่าแรงกายเสียอีก
“เลิกงานก็ตีสองตีสามแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ มันเป็นอะไรที่วัดใจ วัดความอดทนมากๆ เพราะคนที่จะเรียน MBA ต้องมีประสบการณ์ทำงาน แล้วมันจะมีสักกี่คนที่สามารถทำงานไปด้วย อ่านหนังสือสอบไปด้วย หลายๆ คนเลือกลาออกจากงานเพื่อมาอ่านหนังสือเลยด้วยซ้ำ บางทีเราอาจจะยอมแพ้ เอ้า ทำงานก็ได้เงินเดือน จะไปอ่านหนังสือสอบทำไม จะไปเรียนทำไม มันต้องสู้กับตัวเองเยอะมาก”
แต่สุดท้ายมายลี่ก็ฮึบผ่านช่วงนั้นมาได้ เธอสอบ GMAT จนได้คะแนนที่พอใจ และเริ่มเตรียม Application สำหรับสมัครเรียน ซึ่งมหาวิทยาลัยที่เธอเลือกเป็นชอยส์แรกและชอยส์เดียวคือ Fuqua School of Business, Duke University
“เราชอบที่นี่เพราะเราเป็นคน People รักคน รักทีม ซึ่งคนที่ Fuqua จะเป็น Vibe นี้เลย คือ Supportive พร้อมช่วยเหลือกัน เขาจะเรียกสปิริตแบบนี้ว่า Team Fuqua จะเป็นที่รู้กันเลยว่าถ้าคุณ Reach Out ไปหา Fuqua สักคนจะได้รับความช่วยเหลือแน่นอน เรารู้สึกว่าเราจะ Thrive ในที่ที่เป็นคนแบบเรา แล้วที่นี่เราสัมผัสได้เลยจากการคุยกับ Alumni และนักเรียนปัจจุบันว่า They’re my people.
“ในเชิง Career เราเลือก Fuqua เพราะเราสนใจเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งที่นี่ก็ค่อนข้างเก่งเรื่องเทคเลย ส่วนในเชิง Location เราอยากอยู่ฝั่ง East Coast ที่ไม่ได้เป็น City มาก ก็เลยประจวบเหมาะทุกอย่าง เป็นสถานที่ที่อยากอยู่ เป็นโรงเรียนที่จะได้ทำงานที่อยากทำ”
เมื่อจะโบยบินต่อ Bluebik ก็ขอเป็นลมใต้ปีก
เป็นที่รู้กันว่าการเตรียม Application สำหรับสมัครเรียน MBA นั้นจริงจังใช่เล่น มี Essay Question มากมายที่ต้องตอบให้ดีตอบให้โดน แต่เรื่องนี้มายลี่บอกว่า “สำหรับเรามันไม่ยาก” เพราะเธอฝึกฝนการวาง Storyline มาเป็นอย่างดีตอนทำงานที่ Bluebik
“เวลาจะทำ Proposal นอกจากทำ Strategy แล้ว เราต้องทำ Storyline ด้วยว่า ลูกค้าอยากได้แบบนี้ แล้วเราต้องพรีเซนต์อย่างไร ตอนทำ Application สำหรับเรามันไม่ยาก เพราะเรารู้ว่าโรงเรียนมองหาคนแบบไหน เราก็จะ Position ตัวเอง แล้วเล่าสตอรี่ของตัวเองให้เหมาะกับสิ่งที่เขามองหา”
แล้ว Fuqua School of Business ที่ Duke เขามองหาคนแบบไหน?
“ที่นี่มองหาคนที่มี DQ (Decency Quotient) และ EQ คือไม่ว่าอย่างไรคุณต้องมี IQ อยู่แล้วเพราะสอบ GMAT มาได้ แต่เขาเน้นที่ DQ และ EQ เพราะเขามองหาคนที่จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำที่สร้างอิมแพกต์ต่อสังคมและมี Empathy ด้วย”
แน่นอนว่าประสบการณ์การทำงานที่ Bluebik มีส่วนช่วยให้การตอบ Essay Question ของมายลี่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อย่างคำถามข้อหนึ่งที่บอกว่า Tell me 25 random things about yourself. เธอก็เลือกสรรคำตอบ (ที่จริงๆ แล้วไม่ Random) ที่มาจากประสบการณ์ตรง เช่น
“เราเล่าเรื่องตอนทำ IPO ว่า I’m proud that I’ve been in a key role in pushing the IPO of Bluebik. For me, as one of the early employee, IPO made me think of how I can improve people and organization. ซึ่งตรงนี้ก็ช่วยสื่อว่าเราเป็น Well-rounded Leader
“แล้วก็มีอีกข้อที่เล่าเรื่อง Social Committee เราเป็นรุ่นแรกและเป็น President ก็เล่าไปว่า This was my favorite initiative. เพราะได้หากิจกรรมให้พนักงานทำร่วมกัน และได้ทำประโยชน์ให้สังคมด้วย อย่างตอนนั้นไปทำ CSR เก็บขยะที่บางแสนกัน ตรงนี้ก็โชว์ว่าเราทำอย่างอื่นนอกเหนือจากงานด้วยนะ”
และในที่สุด อย่างที่รู้กันแล้ววันนี้ มายลี่ก็สอบติด MBA โรงเรียนในฝันจนได้!
ไปเมื่อพร้อม ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำทันที
ปัจจุบันมายลี่ใกล้เรียนจบปีแรกของหลักสูตร 2 ปีแล้ว เธอบอกว่าทุกวันมีแต่เรื่องสนุกและการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แม้การบ้านและงานกลุ่มจะเยอะจริงสมคำร่ำลือของ MBA
“การมาเรียน MBA ทำให้เราได้ปูพื้นฐานตัวเองอีกรอบให้แน่นๆ เลย เพราะตอนปริญญาตรีเราเรียน Economics มา พอมาที่นี่ก็เลยได้เรียน Business แบบครบวงจร
“จริงๆ ตอนทำงานที่ Bluebik 1 โปรเจกต์ก็เหมือนการเรียน MBA ดีๆ นี่เอง เพราะต้องคิดทั้ง Marketing, Operations ไปจนถึง Finance ดังนั้นพอเรามาเรียนที่นี่ เรามี Advantage มากกว่าคนอื่น ตอนทำ Group Project เราก็เลยได้แสดงความคิดเห็นและแชร์ประกบการณ์ให้เพื่อนในทีมฟัง
“ส่วนการเป็นผู้นำ เราดึงวิธีลีดทีมที่ Bluebik มาใช้ต่อเลย ส่วนตัวเราเป็นผู้นำที่ชอบสร้าง Culture ให้คนสนิทกัน มันเป็น Instinctive Motivation ของเราเลย เพราะพอทุกคนสนิทกัน อยากทำงานร่วมกัน อยากซัปพอร์ตกัน ตอนทำงานก็จะไม่เครียด และ Productivity ก็จะสูง แล้วมีอะไรก็จะกล้าพูด กล้า Direct Feedback กันและกัน เพราะเราแคร์กัน และอยากให้ทุกคนเก่งขึ้นอีก”
นอกจากการทำงานกลุ่มที่เข้ามือสุดๆ การเข้าคลาสเรียนไป Discuss และรับฟังมุมมองและเรื่องราวของเพื่อนๆ จากทั่วทุกมุมโลกก็เป็นสิ่งที่มายลี่ชอบมาก
“ที่นี่อาจารย์ไม่มาเลกเชอร์เรานะ เขาจะให้เราอ่านเคสแล้วถามว่าเราคิดอย่างไร แล้วตอนสุดท้ายบางทีก็ไม่ได้สรุปด้วย แค่เล่าว่าเหตุการณ์จริงๆ เกิดอะไรขึ้นบ้าง และที่นี่จะเน้นให้เราแสดงความคิดเห็นกัน อย่างมีวันหนึ่งคุยเรื่อง Emerging Market Strategy มีประเด็นว่าในอเมริกาบริษัทต่างๆ ไม่สามารถเป็นบริษัทลูกที่มีคอนเนกชั่นกันได้ แต่ในประเทศอื่นทำได้ เพื่อนคนเกาหลีก็เล่าให้ฟังว่า Samsung เติบโตมาแบบนี้ได้อย่างไร เรารู้สึกว่าได้เรียนรู้เยอะมากๆ คือการได้รู้เคสก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็ได้ฟังว่าคนที่แตกต่างจากเราคิดอย่างไร ทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ”
วาง Strategy ชีวิตให้สมกับเป็น Consultant
สุดท้ายนี้ มายลี่ขอกาดอกจันตัวโตๆ ว่า ชีวิตของเธอคงไม่ใช่แบบอย่างให้ใครทุกคนได้ และก่อนจะวางแผนชีวิต อยากให้ทุกคนเริ่มต้นจากการมองภาพอนาคตให้ชัดก่อน
“สมมติถ้าอยากเป็น Entrepreneur การมาเรียน MBA อาจไม่จำเป็นก็ได้ เพราะมันคือการสตาร์ทวันนี้ ลองลุยลองทำเองจริงๆ แต่เราเห็นภาพตัวเองเป็นผู้บริหารในบริษัทชั้นนำ ดังนั้น MBA จึงสำคัญ แต่ก่อนหน้าจะมาเรียน MBA ได้เราก็ต้องมีประสบการณ์การทำงาน ซึ่งงานที่จะทำให้เราเห็น Perspective ของธุรกิจมากที่สุด ได้เรียนรู้แบบ High Learning Curve ก็คือ Consultant มันจะมีสักกี่งานที่วันหนึ่งเราได้ทำร้านกาแฟ อีกวันทำ Oil & Gas วันหนึ่งทำ Finance อีกวันทำ Marketing เพราะเราเห็น Goal ชัดว่าอีก 10-20 ปีเราอยากเป็นอะไร วันนี้เราก็เลยวางแผนถูก สุดท้ายมันคือการวาง Strategy ให้กับชีวิตนั่นแหละ”
สำหรับใครที่อ่านบทความนี้อยู่ และมีภาพฝันคล้ายๆ กับมายลี่ เธอฝากไว้ว่า “ถ้ามองหาที่ที่ได้เรียนรู้เยอะ แต่ก็ได้สนุกกับการใช้ชีวิตด้วย Bluebik คือที่ที่ตอบโจทย์ เพราะเราได้เรียนรู้มากจริงๆ และปกติงานที่ได้เรียนรู้มากๆ ท้าทายมากๆ จะมาพร้อมกับความเครียดและความกดดัน แต่ที่ Bluebik เรามี Support System ที่ดีมาก มีเพื่อนๆ ที่คอยช่วยเหลือ มีพี่โบ๊ทที่ถามได้ทุกอย่าง เราเลยไม่เครียดและผูกพันกับเพื่อนมากๆ ทุกวันนี้กลับไปก็ยังไปเจอคน Bluebik อยู่เลย”
อ่านมาถึงจุดนี้ อย่ารอช้า ดูตำแหน่งงานที่กำลังเปิดรับได้ที่ https://bluebik.com/career และส่งอีเมลมาหาเราได้เลย!