การฝึกงานไม่ใช่แค่การฝึกฝน Hard Skills แต่เป็นช่วงเวลาสำคัญในการค้นหาและค้นพบตัวเอง ก้าวข้ามขีดจำกัด (ที่ไม่มีอยู่จริง!) รวมทั้งเปิดประตูแห่งโอกาสในการได้ทำงานประจำในที่ที่มีคนพร้อมสนับสนุนให้เราบินสูงกว่าที่เคย
วันนี้ Bluebik อยากชวนทุกคนไปฟังประสบการณ์ของ หลิงหลิง Consultant, Management Consulting และ สตางค์ Back-End Engineer, Digital Excellence & Delivery อดีตนักศึกษาฝึกงานที่ได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวสีน้ำเงินอย่างเต็มตัว
ในวันที่หลิงหลิงและสตางค์ทำงานที่ Bluebik มาครบ 1 ปีพอดี เราชวนให้ทั้งคู่มาย้อนความหลังให้ฟังว่า ตอนฝึกงานได้ทำโปรเจกต์อะไร ได้เรียนรู้อะไรบ้าง และชีวิตหลังได้เป็นพนักงานประจำแตกต่างจากสมัยฝึกงานอย่างไร อย่าช้า มาฟังพร้อมๆ กันเลย!
อยากรู้แบ็กกราวนด์แต่ละคนว่าเรียนอะไรมา และทำไมอยากมาฝึกงานที่บลูบิค
สตางค์ : ผมเรียนวิศวะฯ คอมพ์ ที่ ม.เกษตรฯ เคยเห็น Bluebik มาเปิดบูธในงาน Job Fair ก็เลยสนใจ เพราะบรรยากาศตอนคุยกับพี่ๆ ดูสนุกและอัธยาศัยดี ดูโปรไฟล์บริษัทแล้วก็มีโปรดักต์ที่น่าสนใจ มันตรงสายที่ผมเรียนมาด้วย ก็เลยอยากลองทำงานดูว่าเป็นอย่างไร อีกเหตุผลหนึ่งคือมีรุ่นพี่ ม.เกษตรฯ ทำงานที่นี่เยอะมากด้วย พี่โป้ง (ปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์) CTO ก็เรียนจบจากคณะเดียวกันเลย
หลิงหลิง : หลิงเรียน BBA จุฬาฯ สาขา Finance ค่ะ อยากมาฝึกงานที่ Bluebik เพราะสนใจการทำ Consult อยู่แล้ว และมีเพื่อนเคยมาฝึกงานที่นี่ แล้วเขาบอกว่าสนุก พี่ๆ ก็น่ารักกันทุกคน เราเลยรู้สึกว่าสมัครมาฝึกงานที่นี่แล้วกัน น่าจะได้ประสบการณ์ที่ดี
ตอนฝึกงานได้ทำงานอะไรบ้าง ยกตัวอย่างคนละ 1 โปรเจกต์ที่ชอบเป็นพิเศษได้ไหม
หลิงหลิง : ตอนนั้นหลิงได้ทำโปรเจกต์ Growth Strategy ของลูกค้าเจ้าหนึ่ง หลิงได้รับผิดชอบ Joint Venture Deck สำหรับให้พี่ๆ เขาเอาไปพรีเซนต์ที่บริษัทนั้นว่าทำไมต้องมา JV กับลูกค้าของเรา หลิงได้ทำ Full Deck ด้วยตัวเองเลย ท้าทายมากๆ แต่โชคดีที่พี่เขาให้โอกาส โดยเขาไกด์แนวทางมาให้ส่วนหนึ่ง แล้วเราก็ไปคิดและทำต่อ แล้วมาเล่าให้เขาฟังว่า เราคิดว่าต้องทำอะไร เพราะอะไร แล้วพี่เขาก็มาช่วยตบให้เข้ารูปเข้ารอยทีหลัง หลิงชอบที่พี่เขาให้ Ownership เราได้ทำงานที่มาจากไอเดียเรา ไม่ใช่ว่าเอาไอเดียพี่เขามาทำ
สตางค์ : ผมทำโปรเจกต์ของลูกค้าบริษัทประกันเจ้าหนึ่ง ตอนแรกทำ Front End แต่จริงๆ ตอนเรียนผมสนใจหลายอย่าง เลยขอพี่ๆ ลองฝึก Back End ด้วย สุดท้ายผมเลยได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าชอบทำ Back End มากกว่า โดยเวลาทำโปรเจกต์พี่ๆ เขาจะโยนโจทย์มาให้ไปลองแก้ดู เราก็ลองดูว่าใช้หลักการอะไรหา Solution ได้บ้าง แล้วก็เอากลับมาให้พี่ๆ Senior ช่วยดู
ความท้าทายที่เจอในตอนนั้นคือตอนที่ขยับจาก Front End มาทำ Back End เพราะพื้นฐานภาษาและความรู้ที่ใช้มันต่างกัน อย่างตอนทำ Front End ผมใช้ภาษา Angular แต่พอทำ Back End ต้องใช้ Java นอกเหนือจากนี้ก็จะเป็นเรื่อง Relevancy ตอนทำหน้าบ้านเราอาจจะโฟกัสแค่ Front End Server ของเรา แต่พอทำหลังบ้านมันจะมีทั้งเรื่อง Network, Environment, Database หรือกระทั่งการ Deploy Mini Server ของเรา เราต้องคิดให้รอบด้านขึ้นว่างานของเราจะกระทบส่วนไหนบ้าง และเราต้อง Manage งานอย่างไรให้ดีขึ้น
ตอนฝึกงานประทับใจอะไรมากที่สุด
หลิงหลิง : หลักๆ มี 2 อย่าง เรื่องแรกคือหลิงชอบ Scope งานมากๆ มันตรงกับสิ่งที่ต้องการทำมาโดยตลอด รวมถึงพี่ๆ เขาก็ให้โอกาสที่จะทำมันด้วย เรื่องที่สองคือความ Support ของพี่ๆ ทุกคนคือ 100% มากๆ มีอะไรที่อยากรู้อยากถาม พี่เขาก็ช่วยเต็มที่ บางเรื่องที่พี่เขาไม่รู้ เขาก็พยายามหาคำตอบมาให้ หลิงเลยรู้สึกว่า การอยู่ที่นี่มีคนช่วย Support ให้เราโตไปได้
สตางค์ : ของผมความประทับใจอันแรกคือการสื่อสาร มันอาจเป็นมุมมองของคนที่มาจากสายวิศวกรรมจ๋า ปกติจะไม่ค่อยได้คุยกันเยอะ (หัวเราะ) แต่พอมาฝึกงานที่นี่ เราได้เจอคนที่จบจากสาขาอื่นๆ มาด้วย ก็เลยได้คุยกับคนที่หลากหลายขึ้น แล้วก็เวลาทำงาน คนเป็น Engineer ต้องสอบถามเรื่อง Requirement ให้เป็น ซึ่งพี่ๆ Business Analyst ก็ช่วยผมเต็มที่ บางทีก็แนะนำเลยว่าลองถามแบบนี้ไหม หรือกระทั่งพี่ๆ เขาให้โอกาสลองไป Present งานกับลูกค้าด้วย ผมก็ลองไป ตื่นเต้นมากๆ พี่เขาเอ็นดูและช่วยเหลือดีมากๆ อันนี้หมายถึงพี่ๆ ทุกตำแหน่งเลย ไม่ใช่แค่พี่ที่เป็น Senior ผมโดยตรง
บทเรียนสำคัญที่ได้จากการฝึกงานที่ Bluebik คืออะไร
สตางค์ : สำหรับ Engineer มันจะมีเรื่องของ Requirement ถ้าเราทำงานโดยไม่ถาม Requirement ให้ดี บางทีมันจะเป็นผลเสียกับงานในภายหลัง เราอาจต้องมาแก้งานซ้ำซ้อน ดังนั้นเราต้องกล้าคุย กล้า raise ประเด็นเวลาคิดว่าจะมีปัญหา แล้วก็อีกบทเรียนคือการเป็น Engineer ต้องไม่ทำแค่โจทย์ Programming อย่างเดียว ผมต้องวิเคราะห์โจทย์ในโลกจริงด้วย เพราะบางทีมุมมองของคนสายเทคกับคนที่ไม่ใช่สายเทคอาจจะไม่เหมือนกัน
หลิงหลิง : หลิงได้เข้าใจว่าความกลัวคือสิ่งที่จะปิดกั้นทุกอย่างในชีวิต ถ้าเรากลัวที่จะทำงานยากๆ ที่เขามอบหมายมา หลิงจะไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองเก่งอะไร ไม่เก่งอะไร และต้องปรับปรุงตรงไหน ถ้าเขาให้โอกาสเรา เราก็ต้องคว้าโอกาสไว้ นี่คือสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้ชีวิตที่สุดแล้ว บทเรียนก็คือ อย่ากลัว มีโอกาสก็ต้องคว้ามาให้หมด เพื่อให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น
หลังฝึกงานเสร็จทั้งหลิงหลิงและสตางค์ได้รับคำชวนจากพี่ๆ ให้มาทำงานในฐานะพนักงานประจำ คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติอะไรที่ไปเข้าตาพี่ๆ เขา
หลิงหลิง : จริงๆ เป็นคำถามที่อยากถามพี่ๆ เขาเหมือนกันนะ (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ หลิงคิดว่ามี 2 อย่าง เรื่องแรกคือ ทักษะน่าจะอยู่ในระดับที่พี่เขารับได้ จากที่เห็นการทำงานมา เด็กคนนี้น่าจะมาทำงานต่อได้ อย่างที่ 2 คือดูว่าในอนาคตเราน่าจะพัฒนาได้อีกหรือเปล่า เขาน่าจะเห็นว่าหลิงมีไฟอะไรบางอย่างในการทำ Consult น่าจะสอนได้
สตางค์ : อาจเป็นเพราะบทเรียนเรื่องความกล้าด้วยครับ ผมค่อยๆ เติบโตมากขึ้น ตอนแรกอาจจะไม่ค่อยกล้าคุย กล้าถาม ก็มีความกล้ามากขึ้น หรือสมมติว่าผมผิดพลาดอะไร ผมก็กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง กล้าที่จะ raise ประเด็น อันนี้เป็นมุมเรื่อง Soft Skills
ส่วนเรื่อง Hard Skills ตอนที่มีการแข่งขันกันเล็กๆ ในทีม ผมก็ได้รางวัลมาครับ ตอนนั้นพี่เขาให้โจทย์ Programming แก้ไขอัลกอริธึม มันจะเป็นโจทย์เช่น มีหมากรุกอยู่ประมาณหนึ่ง จะทำอย่างไรให้หมากรุกตัวนี้เข้าสู่เส้นชัยได้ภายในเวลาน้อยที่สุด พี่เขาบอกว่าที่หนึ่งจะได้คีย์บอร์ด ผมก็ได้มา เป็น Keychron K3 ผมใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้เลย ต้องขอบคุณพี่ๆ ครับ (หัวเราะ)
เหมือนว่าจุดร่วมของทั้งหลิงหลิงและสตางค์หรือความกล้าหาญและการพัฒนาตัวเองเลย คิดว่าเป็นคุณสมบัติที่ชาว Bluebik มีร่วมกันไหม
หลิงหลิง : คิดว่าใช่ค่ะ หลิงรู้สึกว่า ทุกคนที่นี่เก่งมากๆ อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะหยุดเก่ง เขาจะพยายามหาโอกาสในการพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ เลย ทุกคนดูเป็นคนที่มี Energy เยอะมาจากไหนไม่รู้ (หัวเราะ)
สตางค์ : ผมก็คิดแบบนั้นครับ ในทีมของผมมีเด็กจบใหม่มาเหมือนกัน แต่ละคนจะพยายามหาความรู้เพิ่มในด้านที่ตัวเองชอบตลอด พอผ่านมาหนึ่งปีแต่ละคนก็จะมีด้านที่เชี่ยวชาญต่างกันไป เป็นการเติบโตที่ค่อนข้างเร็วเลยครับ แล้วพอเราอยู่กับคนแบบนี้ เราก็จะรู้สึกว่า เราเองก็ต้องพยายามจะได้ไม่ตามหลังเพื่อน อีกอย่างการพูดคุยในทีมก็สนุกด้วยครับ เราจะแชร์ข่าวกันตลอด เช่นว่า วันนี้มี bug ระดับโลกนะ เรามาลองวิเคราะห์กันดูมั้ย
พอทั้งคู่เข้ามาเป็นพนักงานประจำแล้วมีอะไรที่แตกต่างไปจากตอนฝึกงานบ้างไหม
สตางค์ : ตอนเป็น Full-time เดือนแรกๆ พี่ๆ เขาก็จะดูแลไปก่อน ไม่ต่างจากตอนฝึกงานมาก แต่พอเริ่มทำไป 2-3 เดือน ความต่างจะชัดเจนแล้ว Scale งานใหญ่ขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น งานท้าทายขึ้น ตอนนี้เราต้องทำของที่จะมีคนใช้เยอะมากๆ แล้ว จะทำอย่างไรให้งานออกมาดี ไม่ใช่แค่ดีในแง่สิ่งของ แต่ต้องดีในแง่ของ Performance ด้วย บางอย่างที่ตอนฝึกพี่เขาจะช่วยเราทำ ตอนนี้เราต้องทำเองแล้ว (หัวเราะ) เราต้องเรียนรู้จริงๆ แล้ว แล้วก็จะมีความรู้หลายๆ ด้านที่เรายังไม่มี เราก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมไปด้วยพร้อมๆ กับการทำงาน
หลิงหลิง : เห็นด้วยเรื่อง Scale งาน เราได้งานมาใน Magnitude ที่ใหญ่ขึ้น แต่เขาก็ค่อยๆ ให้นะคะ ไม่ใช่เข้ามาวันแรกก็ให้ทำงาน Scale ใหญ่เลย เขาก็ค่อยๆ ให้เราปรับตัว แล้วก็อีกเรื่องคือความคาดหวัง จากเดิมตอนฝึกงานเขาคาดหวังให้เราได้เรียนรู้มากที่สุด แต่พอเข้ามาทำประจำเขาคาดหวังให้เรา Deliver งานให้ได้
คำถามข้อนี้สำหรับหลิงหลิง การเป็น Consult สาย Tech สร้างแต้มต่อให้เราอย่างไร
หลิงหลิง : หลิงรู้สึกว่า เรามอง Strategy ที่เราคิดมาในมุมของ Practicality มากขึ้นกว่าเดิม เพราะเวลาเราคิดแค่ Strategy เราอาจคิดแค่ว่า มัน Achieve Goal ได้หรือเปล่า เรื่อง Practicality ก็ดู แต่อาจไม่ได้ลงลึกไปถึงขั้นว่า แล้วจะเอา Tech มา Implement ได้จริงไหม เรามี Data พอหรือเปล่า พอมาทำ Consult สาย Tech มันจะมีปัจจัยอื่นๆ ที่เราเอามาคิดมากขึ้นในการ Craft Solution ให้ลูกค้า เหมือนเราคิดครบขึ้น คิดในมุม Implement มากขึ้น และเรามั่นใจว่าลูกค้าเขาเอาไปทำต่อได้จริงๆ
คำถามสำหรับสตางค์บ้าง การเป็น Back-End Engineer ในบริษัท Consult มีข้อดีอย่างไร
สตางค์ : มันดีที่เราได้เห็นโจทย์จริงๆ ของลูกค้า เขามีปัญหาธุรกิจอะไร แล้วเราจะเอาเทคโนโลยีของเราไปแก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไร มันไม่ใช่การแก้โจทย์โปรแกรมมิ่งที่เขากำหนดมา มันเปิดมุมมองให้เรามากๆ
Bluebik มีพนักงานหลากหลายเชื้อชาติมาก โดยเฉพาะในทีม Digital Excellency & Delivery การได้ทำงานกับเพื่อนร่วมงานต่างชาติมีความสนุกหรือความท้าทายอย่างไรบ้าง
สตางค์ : สำหรับผมแปลกใหม่มากครับ เพิ่งเคยมีเพื่อนเป็นคนอินเดียและเวียดนาม ก็เลยได้ใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น และได้รู้ว่าการพูดคุยภาษาอังกฤษเนี่ย ตอนคุยเล่นก็แบบหนึ่ง แต่ตอนคุยเรื่อง Technical ก็อีกแบบ เราต้องพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจให้ได้ มีครั้งหนึ่งที่เราเข้าใจ Technical ตัวหนึ่งไม่ตรงกัน ผมก็ต้องวิเคราะห์ว่า จริงๆ เขาหมายถึงอะไร ต้องไปหาดูตาม Community Blog ที่เป็นภาษาอังกฤษ สุดท้ายพบว่าศัพท์เรียก Technical ตัวนี้ที่ผมใช้กับที่เขาใช้มันไม่เหมือนกัน เขาเรียกกันด้วยอีกคำหนึ่ง ก็เป็นจุดที่ท้าทายครับ
การทำงานที่ Bluebik ตอบโจทย์ชีวิตทั้งคู่อย่างไรบ้าง
หลิงหลิง : มันตอบโจทย์ในแง่ Self-development ที่หลิงตั้งเอาไว้ว่าอยาก Develop เรื่องอะไร ทั้งงานและ Skill ที่ Develop ได้มันตรงกับที่ตั้งเอาไว้ หลิงรู้สึกยินดีที่ Achieve สิ่งเหล่านี้ในเวลาอันสั้น แล้วก็เรื่อง Work-life balance มันโอเคมากๆ หลิงไม่ได้รู้สึกว่าทำงานหนักเกินไป หรือเครียดเกินไป เพราะสุดท้ายจะมีคนมาช่วย Support หรืออย่างน้อยก็ Emotional Support อยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่า มัน Achieve ทั้งด้านของ Goal ที่อยากได้ และ Process ระหว่างทางก็ไม่ได้เป็น Burden ที่หนักหนาเกินไป
สตางค์ : คล้ายกันเลยครับ เราได้พัฒนาตัวเอง ไม่ได้ทำงานหักโหมจนเกินไป และก็ไม่มีความกดดันมากเกินไป ถ้างานหนักหรือมีปัญหาเราก็บอกได้เลย พี่เขาก็จะช่วย Support ตลอดเวลา
สุดท้ายแล้ว อยากฝากอะไรถึงน้องๆ นิสิตนักศึกษาที่สนใจมากฝึกงานที่ Bluebik
สตางค์ : ตอนเป็นนักศึกษาเราอาจรู้จักงานแค่ส่วนเดียว แต่พอได้มาทำงานในวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง เราจะได้พัฒนาตัวเอง และมันไม่ใช่แค่ว่าเราทำงานส่งออกไปอย่างเดียว เราจะยังได้ค้นพบว่าตัวเองชอบอะไร เหมือนที่ผมได้เจอ แล้วก็จะได้เห็น Career Path ของตัวเองชัดขึ้นด้วย ซึ่งมันคือสิ่งที่เด็กมหาวิทยาลัยต้องการ
หลิงหลิง : ถ้าอยากได้อะไรที่มากกว่าแค่คำว่า Bluebik ลงบน Resume ก็ให้มาที่นี่ เพราะสิ่งที่เราได้กลับไปมันมากกว่าแค่ Title มันได้ทั้งการเข้าใจตัวเองว่าเราทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ อะไรที่เราต้องพัฒนา อย่างที่สองคือเราได้เข้าใจโลกของการทำงานจริงๆ ว่าเขาทำงานกันอย่างไร และอะไรคือ Output ที่ควรจะออกมาจากการทำงาน นอกเหนือจากเรื่องงาน เราได้เพื่อนพี่น้องที่พร้อม Support เราไม่ว่าจะอยู่ในที่ทำงานหรือนอกที่ทำงาน การมาที่นี่เป็น a must จริงๆ