เมื่อภาคธุรกิจกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ ที่ต้องรับมือทั้งกระแสดิจิทัลดิสรัปชัน และการแข่งขันอย่างดุเดือดในโลกธุรกิจไร้พรมแดนที่มี “ผู้เล่น” ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะมีเพียงผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่สามารถแข่งขัน และคว้าโอกาสทางธุรกิจได้
ความสำเร็จของธุรกิจที่มาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Grab ที่พัฒนาตัวเองจากแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่สู่ Super App ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในระดับภูมิภาคและตลาดไทย หรือ Netflix เจ้าตลาดแพลตฟอร์มดูหนังผ่าน Streaming ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากคนไทย นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่น ๆ จากต่างประเทศทั้งที่เข้ามาแล้ว และกำลังจ่อคิวเข้ามาอีกมากมาย เพื่อช่วงชิงพื้นที่ตลาด
คำถามสำคัญ คือ “ภาคธุรกิจพร้อมแค่ไหนในศึกนี้” การสร้างความแข็งแกร่งให้กับ 4 แกนหลักในการทำธุรกิจ ที่ประกอบด้วย ลูกค้า ตัวองค์กร พนักงาน และพันธมิตร เพื่อใช้รับมือกับการแข่งขันทางธุรกิจในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีเทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน จึงเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจต้องเร่งทำ ก่อนถูกทั้งคู่แข่งและดิจิทัล ดิสรัปชัน จนอาจหายไปจากอุตสาหกรรมอย่างน่าเสียดาย

7 เทรนด์การลงทุน สร้างความได้เปรียบในการทำธุรกิจแบบไร้พรมแดน
ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทั้งในเรื่องธุรกิจและเทคโนโลยี ทาง ‘บลูบิค (Bluebik)’ ได้เปิดเผยถึง 7 เทรนด์การลงทุนที่ต้องลงมือทำในวันนี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความได้เปรียบในการทำธุรกิจแบบไร้พรมแดน ดังต่อไปนี้
1. Omni Channel Experience
เป็นการเชื่อมโยงช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์เพื่อสร้างประสบการณ์ซื้อสินค้าและบริการแบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ที่พร้อมให้บริการในทุกช่องทาง เพราะประสบการณ์ไม่ดี อาจทำให้สิ่งที่องค์กรได้ลงทุนและตั้งเป้าหมาย เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น Mobile Application หรือช่องทางการเข้าถึงอื่น ๆ นั้นอาจสูญเปล่าได้
ดังนั้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่ทำให้องค์กร สามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าในทุกช่องทางอย่างราบรื่น เป็นสิ่งที่ไม่อาจรอได้ เช่น Customer Data Platform (CDP) หรือ Marketing Automation เป็นต้น
2. Hyper-Personalization
เทรนด์การทำการตลาดขั้นสุดที่ต้องเข้าใจลูกค้ามากกว่าที่เคย เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย และแตกต่างกันของลูกค้าแต่ละราย โดยหลักสำคัญในการทำ Hyper-Personalization คือ Data หรือข้อมูลที่ภาคธุรกิจสามารถนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า ตลอดจนพฤติกรรมต่าง ๆ มาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการได้อย่างถูกต้อง ในช่องทางและกรอบเวลาที่เหมาะสม
ดังนั้นการลงทุนในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า หรือ Customer Relationship Management เช่น Salesforce และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Advanced Analytics) เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจจำเป็นต้องลงทุน เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่
3. Cloud Computing
การย้ายระบบ Infrastructure ส่วนหนึ่งไปไว้บนระบบ Cloud Computing เป็นเทรนด์สำคัญในการทำธุรกิจยุคปัจจุบัน ซึ่งหนึ่งในข้อได้เปรียบของระบบ Cloud Computing คือ ผู้ใช้งานสามารถวางแผนการใช้งานได้ล่วงหน้า ด้วยการทำ Auto Scaling ที่สามารถเพิ่มหรือลดขนาดของเซิร์ฟเวอร์ได้ตามการใช้งาน เป็นการลดต้นทุนด้านระบบ Infrastructure ขององค์กร และลดความเสี่ยงจากการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ
นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาในระยะยาว อีกทั้งระบบ Cloud Computing ยังทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นแข็งแรงมากขึ้น และสามารถตอบโจทย์การทำงานในรูปแบบใหม่ที่กำลังเป็นกระแสนิยมอย่าง Work from Anywhere ได้อีกด้วย
4. Cyber Security
ปัจจุบันโลกกำลังมุ่งเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว โดยมีอาชญากรรมทางไซเบอร์เป็นเหมือนเงา และซุ่มรอโอกาสในการโจมตี เมื่อพบช่องโหว่ทางธุรกิจ ดังนั้นการลงทุนใน Cyber Security เพื่อปกป้องมูลค่าทรัพย์สินและความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่หลายองค์กรควรให้ความสำคัญอันดับต้น ๆ เพราะรูปแบบการโจมตีในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่แค่การขโมยข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่มีเป้าหมายในการจู่โจมที่หลากหลาย และมีความซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นแล้วจากหลายกรณีที่เกิดขึ้น
ยกตัวอย่างกรณีล่าสุด คือ การล่มสลายของเหรียญ LUNA ซึ่งถูกโจมตี เพราะอัลกอริทึมที่ใช้ Balance มูลค่าของ LUNA กับ Stable Coin UST นั้นมีช่องโหว่ ทำให้ถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์ที่เห็นโอกาส ดังนั้นการลงทุนเรื่อง Cyber Security จะต้องทำอย่างจริงจัง ทั้งในแง่การให้ความรู้แก่บุคลากร รวมถึงการปรับกระบวนการตรวจสอบ และการเลือกเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถูกโจมตีส่วนใหญ่ ล้วนสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล
5. Data-Driven Decision Making
การตัดสินใจที่แม่นยำถือเป็นอีกหนึ่งความสามารถที่คนในองค์กร โดยเฉพาะผู้บริหารจำเป็นต้องมี และหนึ่งในเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การตัดสินใจ สามารถทำได้อย่างถูกต้องแม่นยำ คือ การทำ Data Architecture ที่เข้ามาสร้างมาตรฐานข้อมูลให้กับ Big Data ขององค์กร และการวิเคราะห์ขั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ซึ่งปัจจุบันนี้การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ดีขึ้น สามารถวิเคราะห์ Unstructured Data อย่างไฟล์รูปภาพ วิดีโอ และไฟล์เสียงต่าง ๆ ทำให้หลายองค์กรสามารถทำ VDO Analytics เพื่อดู Foot Traffic จากกล้องวงจรปิดร้านค้า แล้วนำมาทำ Business Use Case ได้
6. Agile Culture
เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีค่านิยมหลัก พฤติกรรม และการปฏิบัติเป็นพื้นฐาน และทำให้พนักงานทุกระดับในองค์กร สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและกลยุทธ์ได้ ซึ่งวัฒนธรรม Agile จะเปลี่ยนรูปแบบการทำงานขององค์กรจาก Silo เป็น Cross Function ที่ทำให้พนักงานสามารถข้ามสายงาน และทำงานร่วมกันกับทีมอื่น ๆ ในแต่ละโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำงานรูปแบบนี้จะช่วยผลักดันให้พนักงานออกจาก Comfort Zone สู่ Study Zone เป็นการรีดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
ยิ่งไปกว่านั้น วัฒนธรรมแบบ Agile ยังช่วยรับมือเทรนด์การทำงานที่กำลังเป็นกระแสนิยมอย่าง Hybrid Work Place และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมองค์กรจึงจำเป็นต้องมีการลงทุนในเทคโนโลยี ที่ทำให้เกิดการทำงานงานร่วมกันของคนในองค์กรทุกระดับชั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี Agile Culture เป็นกลไกที่เข้ามาสนับสนุน
7. API Economy
เมื่อมนุษย์ไม่อาจรุ่งเรืองได้ด้วยการแยกตัวออกจากคนอื่นฉันใด ในโลกการทำธุรกิจก็ฉันนั้น เพราะการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือการวัดความเก่งกาจในการทำธุรกิจของผู้บริหารนั้น คือ การดึงศักยภาพธุรกิจของตัวเอง ร่วมกับธุรกิจอื่น ๆ ของพันธมิตรได้
ดังนั้นการเชื่อมต่อธุรกิจต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จึงเป็นสิ่งที่องค์กรต้องเร่งทำการลงทุนพัฒนา API Economy ที่สามารถรองรับ Mobile Device และ Internet of Things โดยเฉพาะการเชื่อมต่อธุรกิจ หรือ B2B Integration ที่เปิดการเชื่อมต่อ APIs ให้พันธมิตรสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ของระบบธุรกิจ เพื่อขยายช่องทางการเข้าถึงของลูกค้า และพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ร่วมกัน โดยเฉพาะการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันขององค์กรกับพันธมิตร
ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถสร้างประสบการณ์ในการซื้อสินค้าและบริการได้อย่างไร้รอยต่อ เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจแก่องค์กรและพันธมิตร ที่จะสร้างการเติบโตร่วมกันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ดังจะเห็นได้ว่า นอกจากการแข่งขันทางธุรกิจแล้ว การนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคธุรกิจนั้น กำลังทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้บริหารหลายคนกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทาย ในการเลือกใช้เทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่าง ๆ อย่างไรให้ถูกต้องเหมาะสม จึงจะสามารถตอบโจทย์การใช้งานปัจจุบัน และรองรับการพัฒนาในอนาคตต รวมถึงคุ้มค่าแก่การลงทุน
ด้วยเหตุนี้ ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านธุรกิจและเทคโนโลยี จึงเป็นสิ่งที่เข้ามาเติมเต็มและช่วยรับมือกับปัญหา และกระแสความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ด้วยการใช้ประสบการณ์ธุรกิจที่หลากหลายมุมมองและแนวคิดจากภายนอก เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งและแก้ไขจุดอ่อน ให้กับองค์กรได้ในทุกมิติ
สำหรับธุรกิจที่ต้องการวางกลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตให้องค์กร ‘บลูบิค (Bluebik)’ มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Excellence & Delivery ที่สามารถให้บริการโซลูชันครบวงจร และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ตั้งแต่ระดับกลยุทธ์ไปจนถึงการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาได้ที่ [email protected] หรือโทรศัพท์ 02-636-7011