หากมองเพียงผิวเผิน ‘Sustainable Technology’ หรือ ‘Green Tech’ กำลังเป็นเทรนด์ใหม่มาแรงที่พูดถึงอย่างแพร่หลายในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ในความเป็นจริงแล้วประวัติศาสตร์ของนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานแล้ว
มนุษย์เรารู้จักใช้พลังงานลมล่องเรือบนแม่น้ำไนล์ตั้งแต่ 5,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จุดไฟผ่านแว่นขยายได้ในศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล หรือจะเป็นกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องใหม่ในโลกยานยนต์ แต่แท้จริงแล้วเราเคยมีรถยนต์ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เพราะรถแท็กซี่ที่วิ่งให้บริการใน New York ณ ช่วงเวลานั้น ล้วนแต่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเกือบทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่า มนุษย์พยายามหาโซลูชัน เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่วันนี้การใช้นวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อม เริ่มกลับมาได้รับความสนใจและกลายเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องลงมือทำมากกว่าที่ผ่านมา โดยที่มีเทคโนโลยี (Technology) เป็นเครื่องมือสำคัญ
Sustainable Technology คืออะไร
Sustainable Technology คือ การผสมผสานกันอย่างลงตัวของ 2 แนวคิด ที่ประกอบด้วย เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไข หรือหลีกเลี่ยงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีที่สนับสนุนแนวคิดรักษ์โลกและความยั่งยืน
ปัจจุบัน Software Applications กลายเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาช่วยสนับสนุนนโยบาย และการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของสังคมและธรรมภิบาลในองค์กร หรือ Environment Social and Governance – ESG ซึ่งการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อความยั่งยืนนั้น เทคโนโลยีจะต้องสนับสนุนแนวคิดและสอดรับกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร รวมถึงต้องตอบโจทย์ทางธุรกิจด้วย ยกตัวอย่างเช่น
- การใช้ซอฟต์แวร์ในกระบวนการทำงาน สามารถช่วยลดการใช้พลังงานและพื้นที่การจัดเก็บได้ เช่น Energy Management Software – EMS ที่ใช้ในการควบคุมให้การผลิต การส่งพลังงาน รวมถึงให้การใช้พลังงานนั้นเป็นไปอย่างเหมาะสมที่สุด โดยเข้ามาช่วยวัดและจัดเก็บการใช้พลังงานภายในองค์กร ชี้ให้เห็นถึงแนวทางการประหยัดพลังงาน การลดใช้พลังงาน รวมถึงติดตามและดำเนินการประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
- การพัฒนาซอฟต์แวร์ที่สามารถเข้าถึง Insight ของกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น ทำให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการเฉพาะ ลดความสูญเสีย และต้นทุนให้บริษัท
![2023 09 25 Sustainable Tech B3 960x1200 1229x1536](https://bluebik.com/wp-content/uploads/2023/12/2023-09-25_Sustainable-Tech_B3_960x1200-1229x1536-1-819x1024.jpg)
5 ข้อดีของ Sustainable Technology ในองค์กร
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาคธุรกิจเป็นกลุ่มที่ก่อให้เกิดมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมมากที่สุดของโลก ทั้งในแง่การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และพลังงานจำนวนมหาศาลที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน หรือปัญหาขยะล้นโลกโดยเฉพาะขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ที่กำลังสร้างความกังวลให้กับหลายฝ่าย
การปรับเปลี่ยนแนวคิดและปฏิบัติ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกองค์กรต้องใส่ใจและลงมือทำ เพื่อส่งมอบโลกที่ดีขึ้นให้กับผู้คน รวมถึงสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดย บลูบิค (Bluebik) ได้รวบรวมประโยชน์การใช้ Sustainable Technology ในโลกธุรกิจไว้ ดังนี้
1. การยกระดับผลลัพธ์ทางธุรกิจ
การใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจะช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมการใช้พลังงาน และต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการใช้ระบบอัตโนมัติในกระบวนการทำงานจะช่วยลดขั้นตอน และค่าใช้จ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน พร้อมรองรับความเปลี่ยนแปลงและเติบโตในอนาคตได้
2. การดึงดูด Top Talent
ไม่ใช่แค่ลูกค้าเท่านั้นที่มองหาสินค้าและบริการประเภทรักษ์โลก พนักงานที่มีความสามารถ (Top Talent) ก็เช่นกัน เพราะคนส่วนใหญ่ล้วนอยากเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้โลกนี้ดีขึ้น ดังนั้นธุรกิจที่สามารถใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และเปลี่ยนผ่านเป็น Green Company จะดึงดูดพนักงานโดยเฉพาะกลุ่ม Tech-Savvy Talent ได้
3. การกระตุ้นยอดขาย
ปัจจุบันผู้บริโภคมีความคาดหวังสูงมากขึ้น นอกจากสินค้าและบริการที่ดีและโดนใจแล้ว ยังมองหาผลิตภัณฑ์และบริการจากองค์กรที่มีนโนบายรักษ์โลกอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต หรือใช้วัตถุดิบรีไซเคิล เป็นต้น
จากรายงานของ Xerox Corporate Social Responsibility Report เปิดเผยว่า บริษัทที่ส่งเสริมแนวคิด ‘รักษ์โลก’ จะเติบโตเร็วกว่าบริษัทที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มากถึง 28 เท่า
4. การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร
การใช้ Sustainable Technology เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนนโยบายด้าน ESG ที่กำลังเป็นกระแสมาแรง เพราะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholder) อันได้แก่ ลูกค้า ภาครัฐ พันธมิตรทางธุรกิจและพนักงาน ต่างต้องการให้องค์กรดำเนินกิจการภายใต้จิตสำนึกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
5. การเพิ่มข้อได้เปรียบให้กับแบรนด์สินค้า
แม้กระแสรักษ์โลกกำลังอยู่ในสปอร์ตไลท์ของคนทั่วโลก แต่ยังมีองค์กรหรือแบรนด์สินค้าอีกมากมาย ที่ยังไม่มีแผนหรือนโยบายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นหากองค์กรใดสามารถเริ่มต้นได้ก่อนย่อมสามารถสร้างข้อได้เปรียบทางธุรกิจเหนือคู่แข่งได้ เพราะผู้บริโภคยุคใหม่พร้อมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบโลกที่ดีกว่าเดิมให้ผู้อื่น
3 เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย Sustainable Goals
บลูบิค (Bluebik) ขอแนะนำตัวอย่างเทคโนโลยีที่ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย Sustainable Goals ได้
1. 5G และ Internet of Things – IoT
เครือข่าย 5G สามารถจัดการกับ Data Traffic จำนวนมหาศาล และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการใช้พลังงาน นอกจากนี้การโอนย้ายข้อมูลไปยังแอปพลิเคชัน Cloud-Native 5G ยังช่วยลดการใช้พลังงาน และการปล่อย CO2 ในเครือข่าย
ยกตัวอย่างเช่น การใช้ 5G เป็นองค์ประกอบสำคัญของ Smart City ทำให้สามารถตรวจสอบและควบคุมทรัพยากรต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ ช่วยลดปริมาณของเสียและปรับใช้การพลังงานของโรงงาน และบ้านพักอาศัยได้อย่างเหมาะสม เป็นต้น
2. Artificial Intelligence – AI
โมเดล AI สามารถช่วยธุรกิจปรับปรุงการใช้พลังงาน ลดปริมาณของเสีย และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grids Powered by AI) สามารถบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานของพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกและต้นทุน เช่นเดียวกับเซ็นเซอร์และระบบตรวจสอบที่ใช้ AI (AI-Powered Sensors and Monitoring Systems) ให้สามารถตรวจจับและบรรเทาความเสียหายจากการรั่วไหลของท่อก๊าซ และระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ จึงลดความสูญเสียและการทำลายสิ่งแวดล้อมได้ เป็นต้น
นอกจากนี้ AI ยังเป็นนวัตกรรมที่ช่วยสนับสนุนแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน อย่างอัลกอริทึมของ Machine Learning – ML สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล เพื่อระบุรูปแบบและคาดการณ์อนาคต ทำให้ผู้บริหารมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์และตรวจสอบช่วยให้เกษตกรสามารถเพิ่มผลผลิต และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้
ยกตัวอย่างเช่น AppHarvest ใช้ AI และ Computer Vision เก็บข้อมูลเกี่ยวกับธัญพืชและปรับสภาพแวดล้อม เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการและรสชาติที่ดีที่สุด รวมถึงการใช้หุ่นยนต์เก็บเกี่ยวผลผลิตด้วย หรือ Blue River Technology ใช้ Machine Vision และ AI แยกธัญพืชออกจากวัชพืช ทำให้ฉีดพ่นยาฆ่าวัชพืชได้อย่างแม่นยำ และยังลดการใช้แรงงานได้ เป็นต้น
3. Blockchain
การใช้เทคโนโลยี Blockchain ช่วยให้การทำธุรกรรมมีความปลอดภัยและโปร่งใส โดยผู้บริหารสามารถตรวจสอบและยืนยันถึงความพยายามในการดำเนินแผนงานด้าน ESG ในระบบซัพพลายเชนขององค์กรและคู่ค้าให้แก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholder) ได้
นอกจากนี้ Blockchain ยังเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ตรวจสอบความโปร่งใสของการจัดการ Carbon Credit เพราะทุกธุรกรรมของ Carbon Credit บนเครือข่าย Blockchain สามารถตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ และข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ในบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ ช่วยให้ธุรกิจลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง Smart Contract และเครื่องมืออื่นๆ ของ Blockchain ยังช่วยตรวจสอบ ติดตาม และรายงานผลการชดเชยการใช้คาร์บอนฯได้แบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานความต้องการของหน่วยงานต่างๆ และทำให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้เร็วขึ้น
ท่ามกลางวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์มากกว่า 3 ทศวรรษ แต่เรายังโชคดีที่มีตัวช่วยอย่าง Sustainable Technology ที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนนโยบาย ESG และสร้างผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามการเลือกใช้เทคโนโลยีและแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับพื้นฐานขององค์กร ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับผู้บริหาร เพราะการดำเนินนโยบายเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนมาก และต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งด้านเทคโนโลยีและธุรกิจ
บลูบิค (Bluebik) ในฐานะที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร บริการที่ปรึกษาเชิงลึกด้านดิจิทัลและพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กร ที่จะช่วยเติมเต็มความสำเร็จให้องค์กรธุรกิจบรรลุเป้าหมาย Sustainable Goals พร้อมขับเคลื่อนระบบไอทีให้มีประสิทธิภาพสูงแต่ยังคงซึ่งนโยบายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาได้ที่ [email protected] หรือโทรศัพท์ 02-636-7011