เมื่อโลกไม่ได้แค่เปลี่ยนแปลงแต่เปลี่ยนเร็วยิ่งกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่า คลื่นการเปลี่ยนแปลงถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปใช้สินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น เมื่อสนามแข่งขันหลักเปลี่ยนมาอยู่บนโลกออนไลน์อันไร้ขอบเขต ธุรกิจจึงต้องยิ่งแข่งกันดุเดือดมากกว่าเดิม เพื่อให้ตัวเองโดดเด่น แตกต่าง และเป็นที่จดจำในสายตาผู้บริโภคท่ามกลางตัวเลือกมากมาย
ด้วยเหตุนี้ การสร้างแบรนด์ยุคใหม่จึงไม่ใช่แค่สร้างการจดจำในระยะสั้น แต่ต้องพยายามเป็นที่หนึ่งในใจของผู้บริโภค (Top of Mind) ขณะที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่ง Agile Branding เป็นอีกแนวทางการสร้างแบรนด์ที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้

Agile Branding คืออะไร
Agile Branding คือ การออกแบบแบรนด์ให้มีความยืดหยุ่น พร้อมรับการขยายธุรกิจในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการขยายสินค้าและบริการ (New Product and Service) การขยายกลุ่มลูกค้า (New Customer Segment) และการขยายช่องทางไปยังดิจิทัล (New Channel & Touchpoints) เพื่อพาแบรนด์ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
Agile Branding เกิดจากการผสมผสานหลักการ Agile ซึ่งเน้นให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างคล่องตัวมากที่สุด สามารถปรับเปลี่ยนและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ โดยเอาไปรวมกับ Branding ที่เป็นการสร้างแบรนด์หรือภาพจำของธุรกิจสู่สายตาผู้บริโภค
ที่ผ่านมา องค์กรชื่อดังระดับโลกจำนวนไม่น้อยมีแนวทางสร้างแบรนด์ตามหลัก Agile Branding เช่น Alphabet ที่เริ่มต้นจากการให้บริการ Search Engine ในชื่อ Google ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงข้อมูลปริมาณมหาศาล โดยเฉพาะเทรนด์ผู้บริโภค ซึ่งต่อยอดไปสู่การขยายสินค้าและบริการ ตั้งแต่ Android ระบบปฏิบัติบนสมาร์ทโฟน, Google Cloud, Youtube แพลตฟอร์มแชร์วิดีโอขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และบริการอื่น ๆ โดยผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ทำให้ Google ได้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
อีกตัวอย่างคือ Facebook ที่เริ่มต้นจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แล้วค่อย ๆ ขยายเข้าธุรกิจโฆษณาออนไลน์ จนกลายเป็นแพลตฟอร์มโฆษณารายใหญ่ ต่อยอดสู่การเป็นแพลตฟอร์มโซเชียล คอมเมิร์ซ (Social Commerce) และระบบบริการรับชำระเงิน (Facebook Pay)
จากตัวอย่างที่ยกมา คงกล่าวได้ว่าสิ่งที่ Agile Branding มีร่วมกัน คือ การวาง Position ให้พร้อมปรับตัวตลอดเวลา ทั้งในแง่การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการออกแบบ Brand CI ที่ปรับเปลี่ยนตามเทรนด์ผู้บริโภค

Agile Branding ควรจะเริ่มจากตรงไหน
เมื่อโลกเปลี่ยนไป การสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การยึดติดกับภาพลักษณ์เดิม ๆ โดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าตื่นเต้น ผ่านการวิธีการสื่อสารใหม่ ๆ โดยที่ยังรักษาค่านิยมหลัก (Core Value) ของแบรนด์ไว้
3 หลักเบื้องต้นในการสร้าง Agile Branding
คงต้องบอกว่าการสร้าง Agile Brand ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่มีหลักเบื้องต้นที่ควรคำนึงถึง ดังนี้
1. เข้าใจแบรนด์ตัวเอง สื่อสารความเป็นแบรนด์ให้ชัดเจน
แม้ Agile Branding จะเน้นที่ความคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลง แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญ คือ ต้องเข้าใจแบรนด์ตัวเองก่อน โดยแบรนด์ต้องสามารถตอบคำถาม 3 ข้อนี้ ได้แก่
- กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือใคร
- ต้องการแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้า
- อะไรคือจุดแข็งของแบรนด์ที่ทำให้ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
เพื่อให้ตอบโจทย์ด้านบน ธุรกิจจึงไม่ควรยึดติดอยู่กับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์แบบเดิม ๆ โดยสิ่งที่ควรปรับไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวางโครงสร้างแบรนด์ (Brand Architecture) แต่รวมไปถึงการปรับองค์ประกอบอื่น ๆ เกี่ยวข้องกับ Corporate Identity (CI) ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ Tagline ฟอนต์ หรือสีที่ใช้ เพื่อสื่อสารความเข้าใจเกี่ยวกับแบรนด์ให้ชัดเจนขึ้น เช่น Starbucks ที่มีการเปลี่ยนโลโก้มาแล้วหลายครั้งนับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ โดยการเปลี่ยนแปลงล่าสุดเป็นการเอาคำว่า Coffee ออกจากโลโก้ เพื่อให้แบรนด์สามารถขยายไปทำธุรกิจอื่น ๆ ได้ในอนาคต
แล้วแบรนด์จะรู้ได้อย่างไรว่ามาถูกทางแล้ว สำหรับแนวทางการปรับเปลี่ยนมีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ
- การสร้างต้นแบบแรก (Build) เพื่อเริ่มต้นวิธีการใหม่ ๆ โดยนำไอเดียและคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับแบรนด์มาประกอบรวมกัน
- ทดสอบและว้ดผล (Measure) ด้วยการนำตัวต้นแบบไปลองใช้จริง ทั้งผ่านการสื่อสารภายในองค์กร ลูกค้า การทำการตลาดผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ของแบรนด์ เพื่อเก็บฟีดแบ็กจากหลาย ๆ ทาง และนำไปพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ ต่อในอนาคต
- เรียนรู้จากวิธีการก่อนหน้า (Learn) โดยทั่วไปแล้ว กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้นหลังการทดลองใช้แนวทางใหม่ราว 2-3 ครั้ง ซึ่งขึ้นอยู่กับงบประมาณและเวลาขององค์กรด้วยเช่นกัน

2. เข้าใจตลาด ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง
ความคล่องตัวถือเป็นหัวใจของ Agile Branding ซึ่งในช่วงแรกของการสร้างแบรนด์ ธุรกิจต้องทำความเข้าใจตลาด และกล้าทดลองทำอะไรใหม่ ๆ อย่างรวดเร็ว โดยไม่ยึดติดอยู่กับกระบวนการทำงานแบบเดิม ๆ เพื่อให้ค้นพบโอกาสที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับสิ่งสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์มีความคล่องตัว คือ การต้องเปิดกว้างรับฟังแนวคิดและความเห็นใหม่ ๆ ทั้งจากลูกค้า ผู้บริโภค พนักงาน และพาร์ทเนอร์ โดยเฉพาะในยุค Customer-Centric ในปัจจุบัน ที่ลูกค้ามีบทบาทอย่างมากในโลกธุรกิจ ทำให้ผลิตภัณฑ์และบริการต้องตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคให้ได้
อีกสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ในการสร้าง Agile Brand คือ การให้ความสำคัญกับลูกค้า เริ่มตั้งแต่การหาช่องทางการสื่อสารและการเข้าถึงลูกค้าที่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Content Marketing บนโซเชียลมีเดีย หรือการพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อให้คนเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้นและใช้บริการต่าง ๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น ไปจนถึงการมีความรับผิดชอบทั้งต่อผู้บริโภค ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ปลอดภัย ไม่หลอกลวง ช่วยแก้ปัญหาได้จริง เปรียบได้กับการทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตั้งแต่การสร้างแบรนด์ช่วงแรก รวมถึงมีความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบและดำเนินการผลิตสินค้า โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
3. เตรียมทีมงานให้พร้อมปรับตัวอยู่เสมอ
สิ่งสุดท้ายที่จะขาดไปไม่ได้ คือ การสร้างทีมงานให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ด้วยการเน้นทำงานให้เสร็จภายในระยะเวลาสั้น ๆ ลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็นลง รวมถึงเปิดโอกาสให้ทีมงานสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญได้
นอกจากนี้ ทีมงานยังต้องสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งภายในทีมด้วยกัน และระหว่างทีมอื่น ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล รับฟังฟีดแบ็กจากงานที่ทำไปแล้ว เพื่อให้ปรับปรุง แก้ไขปัญหาได้ในทันที โดยไม่ต้องรองานเสร็จทั้งหมด ซึ่งหากองค์กรมีการสื่อสารที่ดีจะทำให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกัน และพร้อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน
คงกล่าวได้ว่า Agile Branding เป็นแนวทางการสร้างแบรนด์ให้พร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตหรือโอกาสใหม่ ๆ จากการขยายธุรกิจ ขยายกลุ่มลูกค้า และขยายช่องทางการดำเนินงาน เพื่อให้ผู้บริโภคยังนึกถึงแบรนด์อยู่เสมอ และเติบโตต่อเนื่องในอนาคต
สำหรับธุรกิจที่ต้องการวางกลยุทธ์ด้าน Agile Branding เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตให้องค์กร บลูบิค (Bluebik) ในฐานะที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน Management Consulting ที่สามารถให้บริการโซลูชันครบวงจร และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ตั้งแต่ระดับกลยุทธ์ไปจนถึงการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามหรือปรึกษาได้ที่ [email protected] หรือโทรศัพท์ 02-636-7011