fbpx
Blogs 18 July 2022

เจาะลึก “Starlink” ความหวังของคนพื้นที่ห่างไกล คุ้มไหมหากเทียบกับ Fiber Optic?

ตลอดเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า “อินเทอร์เน็ต” ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก เราสามารถติดตามข่าวสาร สั่งอาหาร หรือซื้อสินค้า ได้ด้วยปลายนิ้วผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งประเภทของอินเทอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายมาเป็นระยะเวลานานจนถึงปัจจุบัน เรียกว่า “Fiber Optic Internet (FTTx)” หรืออินเทอร์เน็ตที่รับ-ส่งข้อมูลผ่านใยแก้วนำแสงที่เชื่อมต่อทุกทวีปทั่วโลกเข้าด้วยกันนั่นเอง

แผนที่ของเส้นใยแก้วนำแสงใต้สมุทรที่เราใช้สำหรับรับ-ส่งข้อมูลระหว่างกัน

Source: https://www.infrapedia.com/app

จนกระทั่งปี 2015 SpaceX บริษัทเอกชนที่ประกอบธุรกิจด้านการขนส่งทางอวกาศ ของอีลอน มัสก์ ก็ได้แนะนำให้โลกรู้จักกับ “Starlink” บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียมเป็นครั้งแรก ซึ่งในปี 2022 ใครหลายคนคงมีโอกาสได้ยินชื่อ Starlink ผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ มาพอสมควร บทความนี้ Bluebik จึงอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ Starlink ให้มากยิ่งขึ้น

Starlink คืออะไร?

Starlink คือบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียม จากบริษัท SpaceX ซึ่งได้มีการเปิดตัวโครงการในปี 2015 ซึ่ง ณ เวลานั้นไม่มีการประกาศชื่ออย่างเป็นทางการ โดยชื่อ Starlink ถูกตั้งขึ้นและจดทะเบียนทางการค้าในปี 2017 สำหรับ Starlink จะมีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ระหว่าง 50-500 MBPS และมี Latency อยู่ที่ประมาณ 20-40 MS ซึ่งปัจจุบันให้บริการอยู่ในประเทศแถบยุโรป อเมริกา และโอเชียเนีย จำนวน 32 ประเทศทั่วโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2565)

Starlink ทำงานอย่างไร?

ภาพแสดงการทำงานของ Starlink

Source: https://dgtlinfra.com/elon-musk-starlink-and-satellite-broadband/


Starlink ทำงานโดยการส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างโลกและดาวเทียม และใช้ดาวเทียมในการเชื่อมต่อทุกทวีปทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยการส่งข้อมูลระหว่างโลกและดาวเทียมจะใช้คลื่นวิทยุ ส่วนการส่งข้อมูลระหว่างดาวเทียมด้วยกันจะใช้เลเซอร์ ส่งผลให้มีจุดเด่นในเรื่องของการเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตเนื่องจากไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ให้บริการของอินเทอร์เน็ต Fiber ขอเพียงแค่มีอุปกรณ์รับสัญญาณของ Starlink ก็สามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้ทันทีจากทุกที่ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบัน SpaceX ส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลกแล้วกว่า 2,300 ดวง (ข้อมูล ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2565) และมีแผนที่จะปล่อยดาวเทียมอีกกว่า 42,000 ดวงเพื่อให้ครอบคลุมการบริการในทุกพื้นที่ทั่วโลก โดยดาวเทียมของ Starlink จะโคจรอยู่เหนือผิวโลกที่ความสูงเพียง 550 กิโลเมตรเท่านั้น

ภาพแสดงระยะห่างของวงโคจรระหว่าง Starlink และดาวเทียมอื่น ๆ 

Source: https://dgtlinfra.com/elon-musk-starlink-and-satellite-broadband/

ทำไมต้องโคจรที่ 550 กิโลเมตร? สาเหตุมาจากระยะทางที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างโลกและดาวเทียม หากดาวเทียมของ Starlink มีรอบวงโคจรดาวเทียมที่สูงกว่านี้ ระยะทางที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลไปกลับระหว่างดาวเทียมและโลกก็จะสูงมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งจะทำให้เกิดความล้าช้าในการรับส่งข้อมูล (Latency) เป็นอย่างมาก (บางกรณีอาจมากกว่า Fiber Optic ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน)

แม้จุดเด่นด้านการเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากทุกที่ทั่วโลกจะเป็นจุดเด่นและจุดดึงดูดความสนใจในการสมัครใช้บริการของ Starlink แต่ภายใต้จุดเด่นดังกล่าว ก็ยังมีข้อด้อยหรือข้อจำกัดอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการ เช่น

  • ราคาค่าบริการรายเดือนและค่าอุปกรณ์ที่ค่อนข้างสูง หากเปรียบเทียบกับอินเทอร์เน็ต Fiber
  • สามารถใช้ได้เพียงตำแหน่งให้บริการเดียวต่อสมาชิก (หากต้องการใช้ในตำแหน่งอื่น ๆ เช่นติดตั้งอุปกรณ์ Starlink บนรถสำหรับจัด Road Trip จะมีค่าบริการเพิ่มเติม 900 บาท/เดือน)
  • สภาพอากาศที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่อาจส่งผลต่อการใช้บริการ เช่น อากาศร้อนจัด ฝนตกหนัก เป็นต้น

การที่จะใช้บริการของ Starlink นั้น เราจะต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า “Starlink Kit” เพื่อใช้สำหรับรับส่งข้อมูลกับดาวเทียม โดยมีค่าบริการอยู่ที่ประมาณ $100 – $500 ตามแพ็คเกจที่เลือกใช้บริการ และมีค่าอุปกรณ์อยู่ที่ประมาณ $499

ภาพ Starlink Kit ที่ใช้สำหรับรับส่งสัญญาณจากดาวเทียม

Source: https://www.starlink.com/kit

Satellite และ Fiber Optic แตกต่างกันอย่างไร?

หลังจากได้ทำความรู้จักกับ Starlink แล้ว หลายคนอาจสงสัยว่าอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียมนั้นมีข้อแตกต่างจาก Fiber Optic ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันอย่างไร 

คุณสมบัติStarlink (Satellite Internet)Fiber Optic Internet
ควาามเร็วความเร็วขึ้นอยู่กับแพ็คเกจ
Starlink: 50 – 250 MBPS 
Starlink Business: 150 – 500 Mbps
Latency 20-40 MS
Speed 130 MBPS
Latency 18 MS (อ้างอิงค่าเฉลี่ยจากทั่วโลก)
ค่าบริการค่าบริการขึ้นอยู่กับแพ็คเกจ
Starlink: US$110/เดือน
Starlink Business: US$500/เดือน
(ขึ้นอยู่กับประเทศและผู้ให้บริการ)
เฉลี่ยในไทยต่ำกว่า 1,000 บาท/เดือน
Availabilityสามารถใช้งานได้ในทุกพื้นที่ทั่วโลก เนื่องจากสามารถพกพา Starlink Kit ไปได้ในทุกพื้นที่ (กรณีปล่อยดาวเทียมแล้วเสร็จตามแผน)ไม่สามารถใช้งานได้ในทุกพื้นที่ เนื่องจากต้องมีการติดตั้งสาย Fiber Optic เพิ่มเติม เพื่อรับและกระจายสัญญาณ
Reliabilityเนื่องเป็นการรับส่งสัญญานคลื่นวิทยุผ่านอากาศ ส่งผลให้อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงอาทิตย์ สภาพอากาศได้ง่าย เนื่องจากสาย Fiber Optic ถูกฝังไว้ใต้ดิน ส่งผลให้โอกาสได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกน้อย

Starlink เหมาะกับผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในไทยหรือไม่? 

สำหรับประเทศไทยที่ประชากรมีอัตราส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่อันดับที่ 34 ของโลก (77.8% ของประชากรโดยรวม) และติด 1 ในอันดับประเทศที่มีเน็ตบ้านและมือถือเฉลี่ยเร็วที่สุดในโลก อ้างอิงข้อมูลเดือนพฤษภาคม ปี 2022 จาก Ookla อินเทอร์เน็ตบ้านของไทยอยู่ที่อันดับ 3 ของโลก (ความเร็วเฉลี่ย 188.31 MBPS) และอินเทอร์เน็ตมือถืออยู่อันดับที่ 56 ของโลก (ความเร็วเฉลี่ย 33.68 MBPS)

ข้อมูลค่าเฉลี่ยอินเทอร์เน็ตประจำเดือนพฤษภาคม 2022
Source: https://www.speedtest.net/global-index/thailand

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าอินเทอร์เน็ตบ้านของไทย (Fixed Broadband) นั้นมีความเร็วเฉลี่ยอยู่ในระดับใกล้เคียงและมี Latency ที่ต่ำกว่า เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับแพ็คเกจเริ่มต้นของ Starlink (ความเร็ว 50-250 MBPS และ Latency 20-40 MS) ที่มีค่าบริการอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท/เดือน ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าบริการอินเทอร์เน็ตบ้านรายเดือนในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากเปรียบเทียบค่าบริการและประสิทธิภาพของอินเทอร์เน็ตแล้ว กรณีอาศัยอยู่ในพื้นที่ให้บริการของอินเทอร์เน็ต Fiber ให้ใช้อินเทอร์เน็ต Fiber ตามเดิมน่าจะเป็นทางเลือกที่มีความคุ้มค่ามากกว่า

อย่างไรก็ตามจุดเด่นของ Starlink ที่สามารถให้บริการได้ทุกพื้นที่ทั่วโลก ก็ถือเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจหากมีการเปิดให้บริการในประเทศไทย และเหมาะผู้ที่ต้องการใช้อินเทอร์เน็ตแต่อยู่ในพื้นที่นอกเขตให้บริการของอินเทอร์เน็ต Fiber ที่จะช่วยให้การรับส่งข้อมูลข่าวสารหรือการกระจายตัวของความรู้เป็นไปได้อย่างสะดวก ต่อเนื่องและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถสร้างโอกาสในด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในมุมของผู้ใช้งาน ก็คงต้องดูกันอีกทีว่าประโยชน์ที่ได้รับจาก Starlink คุ้มค่ากับค่าบริการที่เสียไปหรือไม่ หรือ Starlink จะมีแผนทางการตลาดอย่างไร เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานที่อยู่ในประเทศที่อินเทอร์เน็ต Fiber สามารถเข้าถึงได้ง่ายและราคาถูกกว่า ให้หันมาใช้บริการอินเทอร์เน็ตจากดาวเทียม

จุดเด่นของ Starlink สร้างโอกาสในด้านต่างๆ ได้อย่างไร ?

หาก SpaceX สามารถให้บริการ Starlink ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วโลกตามความเร็วและ Latency ที่ได้ประกาศไว้ แน่นอนว่าความสะดวกสบายในการเขาถึงอินเทอร์เน็ตนี้ จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตในด้านต่างๆ อย่างแน่นอน เช่น

  • ด้านการศึกษา ทุกพื้นที่ทั่วโลกจะสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพทางการศึกษาให้กับประเทศที่การพัฒนาน้อยหรืออยู่ระหว่างการพัฒนา
  • ด้านตลาดการเงิน การซื้อขายหุ้น หรือการทำธุรกรรม จะสามารถดำเนินการได้ง่าย และครอบคลุมในทุกพื้นที่มากยิ่งขึ้น เนื่องจากมี Latency ต่ำในการรับส่งข้อมูลระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้พื้นที่หรือประเทศที่อยู่ระหว่างการพัฒนาสามารถเข้าถึงตลาดหุ้นในประเทศและทั่วโลกได้ง่าย
  • ด้านการท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวและที่พักต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่หรือประเทศที่การพัฒนาน้อยหรืออยู่ระหว่างการพัฒนา จะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ส่งผลให้การเข้าถึงหรือประชาสัมพันธ์ข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ หรือกิจกรรมต่างๆ โดยรอบสามารถดำเนินการได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพ ประสบการณ์ และความปลอดภัยของการท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

จากตัวอย่างข้างต้น จะสังเกตได้ว่าการที่เราเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในทุกพื้นที่ ส่งผลให้เราสามารถต่อยอดโอกาสทางสังคม หรือโอกาสทางธุรกิจได้อีกมากมาย อีกทั้งยังรวมถึงเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมอื่นๆ ที่อาจพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในวันที่เราสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา 

สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่สนใจอยากลองใช้บริการหลังจากได้ทำความรู้จักกับ Starlink แล้วก็อาจต้องรอกันอีกสักพัก เพราะ SpaceX มีแผนที่จะเริ่มให้บริการ Starlink สำหรับประเทศแถบเอเชียในปี 2023 ซึ่งก็ต้องรอติดตามข่าวสารกันต่อในอนาคตว่าจะถึงคิวของประเทศไทยเมื่อไหร่ และจุดเด่นของ Starlink เมื่อเปรียบเทียบกับค่าบริการจะคุ้มค่าหรือไม่ หากนำมาเทียบกับอินเทอร์เน็ตที่เราใช้บริการกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคุณภาพและราคาที่คุ้มค่าเป็นอันดับต้นๆ ของโลก