ในวันที่ขีดความสามารถของ AI กลายเป็นขีดความสามารถขององค์กร ส่งผลให้ธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงใหญ่ยากที่จะหลี่กเลี่ยงการปรับใช้ Artificial Intelligence – AI ในองค์กรและหนึ่งในโมเดล AI ที่สำคัญต่อธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญคงหนีไม่พ้น ‘Enterprise AI’
บลูบิค จะพาคุณไปรู้จักกับ Enterprise AI ในแง่มุมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
Enterprise AI คืออะไร
Enterprise AI คือ ซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ประเภทหนึ่งที่ผนึกเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Machine Learning – ML เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นองค์กรที่ปรับใช้ Enterprise AI จึงมักประสบความสำเร็จในการยกระดับกระบวนการทางธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร (Value Chain) ส่งผลให้เกิดความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพและสามารถสร้างกำไรมากขึ้น แต่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลง ด้วยความทันสมัยของนวัตกรรม AI และ ML และขีดความสามารถในการประมวลผลบนระบบคลาวด์ (Cloud Computing) Big Data และ Internet of Things – IoTs ทำให้แอปพลิเคชัน Enterprise AI ก้าวล้ำไปอีกขั้นส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่มากขึ้นด้วย
นอกจาก ML แล้ว Enterprise AI ยังใช้เทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายในกระบวนการทำงานอีกด้วย ได้แก่ Natural Language Processing – NLP และ Computer Vision อีกด้วย
Enterprise AI ต่างกันอย่างไรกับ Regular AI
ทั้ง Enterprise AI และ Regular AI ต่างใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทั้งคู่ แต่สิ่งที่ทั้งสองเทคโนโลยีนี้แตกต่างกัน คือ ขอบเขต (Scope), ขนาด (Scale), และแอปพลิเคชัน (Application)
การพัฒนาแอปฯ Regular AI นั้นมีเป้าหมายเพื่อใช้งานทั่วไป แก้ปัญหาเฉพาะหรือทำงานบางอย่าง ซึ่งอาจรวมถึงผู้ช่วยส่วนตัวออนไลน์ (Virtual Assistants) ระบบแนะนำหรือแชทบอตแบบง่าย ๆ (Simple Chatbots) ในขณะที่ Enterprise AI นั้นถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ซับซ้อน มีการบูรณาการ AI กับกระบวนการที่หลากหลายขององค์กร ภายใต้กรอบการดำเนินงานที่สามารถบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และการวิเคราะห์เชิงซ้อน (Complex Analytics)
- ขอบเขตและขนาด (Scope and Scale): Enterprise AI ผนึก AI เข้ากับกระบวนการทำงานของทั้งองค์กร เพื่อจัดการกับชุดข้อมูลและกระบวนการที่ซับซ้อน ในขณะที่ Regular AI โฟกัสกับหน้าที่เฉพาะตามมาตรฐานแอปฯทั่วไปเท่านั้น
- ปรับแต่งและความยืดหยุ่น (Customization and Flexibility): Enterprise AI สามารถปรับแต่งได้เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานที่หลากหลาย ในขณะที่ Regular AI ปรับแต่งได้น้อยและใช้งานได้แค่ฟังก์ชันทั่วไป
- การบูรณาการข้อมูล (Data Integration): Enterprise AI สามารถรวบรวมข้อมูลหลากหลายและจากหลายแหล่ง ในขณะที่ Regular AI ทำได้อย่างจำกัดและต้องเป็นชุดข้อมูลที่เหมือนกัน
- ความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Security and Compliance): Enterprise AI ประกอบไปด้วยระบบความปลอดภัยและฟีเจอร์สำหรับการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ Regular AI มีความปลอดภัยและมาตรฐานที่ต่ำกว่า
- การทำงานร่วมกันและการใช้งาน (Collaboration and Usability): Enterprise AI ทำให้การทำงานร่วมกันกับผู้ที่ที่มีส่วนได้ส่วนเสียสะดวก ในขณะที่ Regular AI มีฟังก์ชั่นการทำงานร่วมกันที่จำกัดกว่า
ทำไม Enterprise AI ถึงสำคัญต่อธุรกิจ
Enterprise AI สามารถแก้ปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ก่อนหน้านี้และ Use Cases ของ Enterprise AI แทบไม่มีข้อจำกัดทำให้ปัจจุบันองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่แทบทุกอุตสาหกรรมมีการปรับใช้ Enterprise AI เพื่อจัดการงานในหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ การประกอบเครื่องบิน การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ การผลิตไฟฟ้าและส่งกระแสไฟฟ้า จนถึงการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง ตรวจจับการฉ้อโกง ให้บริการลูกค้าและอื่น ๆ อีกมากมาย
ด้วยเหตุนี้ Enterprise AI จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันในองค์กร และในอนาคตอันใกล้นี้ซอฟต์แวร์ Enterprise ของแทบทุกองค์กรจะปฏิบัติการด้วย AI เช่นเดียวกับที่ธุรกิจปัจจุบันนี้ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพหากปราศจากระบบ CRM หรือ ERP ดังนั้น Enterprise AI จึงไม่ใช่เทคโนโลยีที่ใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเท่านั้น แต่มันกำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง
แล้ว ‘บลูบิค’ สามารถช่วยองค์กรธุรกิจคุณได้อย่างไร
‘บลูบิค’ ในฐานะที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การวางรากฐานด้านข้อมูล จนถึงการออกแบบ พัฒนา ติดตั้งและดำเนินการเกี่ยวกับโมเดล AI และ ML ขั้นสูง เพื่อให้ธุรกิจสามารถปลดล็อคพร้อมยกระดับการใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สอดรับกับความต้องการทางธุรกิจของแต่ละองค์กรได้อย่างแท้จริง สำหรับองค์กรที่สนใจสามารถติดต่อขอข้อมูลจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน Enterprise AI ของบลูบิคได้ที่