fbpx
เรื่องราวของเรา 10 มีนาคม 2023

“เรียน MBA ยังไม่ลึกเท่าเรียนที่ Bluebik” คุยกับ ‘ของขวัญ’ อดีต Senior Manager ว่าด้วยเส้นทางสู่ Ivy League และ Amazon

ทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ การจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับ Ivy league และสมัครเข้าทำงานที่ Tech company เบอร์ต้นๆ ของสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยทั้งความสามารถและการเตรียมตัวให้พร้อมแบบสุดๆ 

ถ้าใครไปถามเคล็ดลับการเตรียมตัวจาก ของขวัญ–อัณณา จิตต์หมั่น อดีต Senior Manager ล่ะก็ คำตอบแรกที่จะได้รับคือ “มาทำงานที่ Bluebik สิ”

ในวันนี้ที่ของขวัญเป็นศิษย์เก่า Tech MBA จาก Cornell University และกำลังเติบโตในหน้าที่การงานกับตำแหน่ง Senior Program Manager, Supply Strategy and Programs ที่ Amazon เราชวนเธอมาย้อนมองเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา 

กว่าจะก้าวมาสู่จุดนี้ได้ เธอไม่ได้เดินบนพรมแดง แต่เดินบนพรมสี Outstanding blue!

“อยู่ที่อื่นจะหางานใหม่เรื่อยๆ เพราะมันไม่ใช่ แต่อยู่ที่ Bluebik ไม่เคยคิดเลย”

หลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จาก Skidmore College ของขวัญแทบไม่เคยหยุดนิ่ง ด้วยจังหวะชีวิตที่กำลังค้นหาแพสชันของตัวเอง บวกกับชอบกระโจนเข้าไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เป็นทุนเดิม เธอไปเรียนภาษาจีนที่เซี่ยงไฮ้ ไปทำงานด้าน Wealth management ไปทำงานด้าน Data analytics แถมมีช่วงที่ลองปลุกปั้นแบรนด์ขนมสุนัขของตัวเองอีกต่างหาก

แต่ในบรรดางานทั้งหมดที่ได้ลองทำ มีงานหนึ่งที่ของขวัญชอบเป็นพิเศษและติดอยู่ในใจ นั่นคือการเป็น Case Team Assistant ที่ Boston Consulting Group

แน่ล่ะว่า งานนั้นทำให้เธอได้เจอ พี่โบ๊ท–พชร อารยการกุล CEO ของ Bluebik อีกด้วย

วันหนึ่งจังหวะประจวบเหมาะ ของขวัญกำลังทำงานอยู่ที่องค์กรใหญ่แห่งหนึ่ง แม้ตัวองค์กรดูมั่นคง แต่เธอพบว่าตัวเองไม่เหมาะกับวัฒนธรรมของที่นั่น

“รู้สึกว่าคนอื่นเขาไม่ได้มีไฟหรือมีแพสชันในการทำงานเท่าเรา” ของขวัญย้อนความ “แล้วพอดีเพื่อนบอกว่า พี่โบ๊ทกำลังหาคนอยู่ เราชอบทำเคสแบบที่เคยทำที่ BCG ก็เลยลองมาคุยดู 

“ตอนนั้นพี่โบ๊ทมีคำถามเทสต์ว่า ถ้าต้องหาว่ามียอดขายกางเกงในในกรุงเทพฯ หรือในเมืองไทยเท่าไหร่ จะวางโครงสร้างการแก้ปัญหานี้อย่างไร จะแบ่งเซกเมนต์อย่างไร จะเบรกดาวน์อย่างไร ต้องมีสมมติฐานอะไรบ้าง ต้องทำสไลด์ด้วย เราจำได้ว่าพี่โบ๊ทบอกว่าสไลด์ยังดีกว่านี้ได้อีก แต่ก็ยังรับเข้าทำงานอยู่นะ” เธอเล่ากลั้วหัวเราะ ก่อนจะปรับโหมดกลับมาจริงจัง

“พี่โบ๊ทถามด้วยว่า ทำไมถึงไม่ชอบทำงานที่เดิม และตอนนี้หาอะไร เราก็บอกว่า เราหางานที่ Challenging และ Stretch ให้เราไปได้ไกล หางานที่ทำให้เราอยากสู้ทุกวัน แก้ทุกวัน เพราะเราอยากเติบโต”

แต่ตอนนั้น Bluebik ยังเป็นบริษัทที่ใหม่มาก เทียบกับที่ทำงานเก่าที่ใหญ่และมั่นคงก็คงเป็น Leap of faith ทำไมถึงตัดสินใจกระโดดล่ะ–เราสงสัย

“เออ…ไม่รู้” ของขวัญเว้นช่วงคิด “เรารู้แค่ว่า ถ้ายอมเสี่ยงจะได้เรียนรู้และเติบโตมากกว่าแน่นอน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้ทำโปรเจกต์อะไร แต่ว่าพร้อมลุย ตอนนั้นเราได้คุยกับคนในทีมคนอื่นๆ ด้วย ทุกคนเก่ง แล้ว Energy ของทุกคนคือกัดฟันสู้ เราเลยอยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมนั้น

“แล้ว Bluebik กลายเป็นที่ทำงานที่เราทำนานที่สุด คือเกือบ 3 ปี  ก่อนหน้านั้นเราทำได้นานสุดคือ 1 ปี ตอนอยู่ที่อื่นจะหางานใหม่เรื่อยๆ เพราะมันไม่ใช่ แต่อยู่ที่ Bluebik ไม่เคยคิดเลย เพราะมันชาเลนจ์ตลอดเวลา มันไม่หยุดนิ่ง ไม่น่าเบื่อ เป็นอะไรที่เราชอบมาก”

“เราเป็นคนที่ไม่กลัวปัญหา เราอาจจะชอบปัญหาด้วยซ้ำ”

ของขวัญเริ่มต้นงานแรกใน Bluebik ด้วยตำแหน่ง Senior Consultant ก่อนจะก้าวขึ้นเป็น Senior Manager ภายในเวลาไม่นาน ลูกค้าคนสำคัญที่ของขวัญดูแลตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปีที่ Bluebik จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากธนาคารพาณิชย์อันดับต้นๆ ของประเทศ​ ผู้มอบความไว้วางใจให้ Bluebik เสมอมา

โดยแต่ละโปรเจกต์ที่เธอมีส่วนร่วมล้วนเป็นรากฐานสำคัญ สำหรับทั้งของขวัญ ทั้ง Bluebik

สำหรับของขวัญ มันคือการสั่งสมประสบการณ์การทำงานในฐานะคอนซัลแทนต์​ การเป็นหัวหน้าทีม การบริหารโปรเจกต์ IT และอื่นๆ อีกมากมาย 

และสำหรับ Bluebik มันคือการสั่งสมชื่อเสียงในฐานะบริษัทที่ปรึกษาไฟแรงที่ไม่มีคำว่า ‘ไม่ได้’ อยู่ในพจนานุกรม

หนึ่งในนวัตกรรมที่ของขวัญและทีมช่วยกันทำจนสำเร็จ ทุกวันนี้ทุกคนใช้กันจนชินชา ถือเป็นความปกติใหม่อย่างหนึ่ง คือการจ่ายเงินด้วย QR Code

ลองคิดสิดูว่าโลกก่อนโควิด-19 คนยังไม่ค่อยชินกับการใช้ QR Code เวลาจับจ่ายใช้สอยเท่าไหร่นัก แต่ของขวัญและทีม Bluebik ก็ช่วยดำเนินการให้ลูกค้าจนสำเร็จมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เครื่องรูดบัตรเครดิต (EDC) แสดง QR Code ให้ได้ หรือกระทั่งการทำแอปฯ​ แม่มณีที่ช่วยให้การรับชำระเงินด้วย QR Code เป็นเรื่องง่ายสำหรับพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย

ของขวัญเล่าว่า แม้จะไม่มีความรู้ด้านธุรกิจธนาคาร และไม่เคยจับงานด้านเทคโนโลยีมาก่อนเข้าทำงานที่บลูบิค แต่เธอก็กระโจนเข้าคลุกวงในอย่างเต็มตัว และได้รับการถ่ายทอดความรู้จากพี่ๆ ผู้เชี่ยวชาญที่บลูบิค

“เราต้องรู้จักถามคำถามที่ถูกต้อง คือพอเรารู้ว่าเป้าหมายคืออะไร ขั้นตอนต่อไปคือเราต้องรู้ว่า เราต้องการข้อมูลอะไรบ้างถึงจะไปสู่จุดนั้นได้ ซึ่งข้อมูลส่วนหนึ่งก็มาจากการไปถามลูกค้า เราจำได้เลยว่า เวลาไปสัมภาษณ์ลูกค้า พี่โบ๊ทจะตรวจคำถามทุกข้อ คำถามนี้สมเหตุสมผลหรือเปล่า ใช่ที่เราอยากถามหรือเปล่า เพราะถ้าอยากให้คนตอบตอบชัด คำถามเราก็ต้องชัด

“แล้วเราต้องอยากรู้อยู่ตลอดเวลา สมมติเขาตอบกลับมาแล้วเรารู้สึกว่า มันยังมีอะไรมากกว่านั้น เราก็ต้องถามต่อไปอีก ค่อยๆ ตีไปทีละสมมติฐาน หรือถ้าเขาบอกว่า แบบนี้ทำไม่ได้ เราก็ต้องถามต่อ ทำไมทำไม่ได้ อะไรไม่ตรงกัน แก้ด้วยวิธีอื่นได้อีกไหม

“นอกจากนี้ความรู้เรื่อง Framework ก็สำคัญ เพราะการจะเป็นคอนซัลแทนต์ได้เราต้องมองให้ครบทุกมุม ซึ่ง Framework จะช่วยตรงนี้ได้”

นอกจากเป็นคอนซัลแทนต์ที่ลูกค้าไว้วางใจแล้ว อีกบทบาทหนึ่งของของขวัญคือการเป็นผู้จัดการที่ดูแลน้องๆ สิบกว่าคน แถมเธอยังได้เลื่อนตำแหน่งสู่ระดับผู้จัดการอย่างรวดเร็ว ถือเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ได้พิสูจน์วัฒนธรรมการให้คุณค่าคนที่ผลงานมากกว่าอายุของ Bluebik ก่อนที่วัฒนธรรมนั้นจะกลายมาเป็นนโยบาย Fast-track promotion อย่างทุกวันนี้

คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพิเศษอะไรที่พี่ๆ มองเห็นและไว้ใจให้เลื่อนตำแหน่งให้ไปดูแลทีม–เราโยนคำถามให้ของขวัญ

“ตอบยากมาก” เธอหัวเราะ “เราเป็นคนที่ไม่กลัวปัญหา เราอาจจะชอบปัญหาด้วยซ้ำ มีปัญหาก็โวยวายๆ แล้วก็แก้ แต่ถ้าไม่มีปัญหาก็เบื่อ กับอีกอย่างหนึ่งคือ เราไม่ชอบเป็นรอง เราอยากเป็นที่หนึ่ง อยากทำให้ดีที่สุด หรือมากกว่าดีที่สุดอีก

“แต่จริงๆ การบริหารทีมมันยากนะ มันเปลี่ยนจากการทำเองทุกอย่างมาเป็นการเมเนจคน แต่เรื่องนี้พี่โบ๊ทก็โค้ชว่าต้องทำอย่างไร แล้วพี่โบ๊ทไม่ได้สอนแค่เรื่องงาน แม้กระทั่งเรื่องการจัดการความรู้สึกของตัวเอง พี่โบ๊ทก็สอน เวลารู้สึก Overwhelmed มากๆ พี่โบ๊ทก็ช่วย ซึ่งตรงนี้เป็นข้อดีของการทำงานที่ Bluebik คือพี่ๆ คอยซัปพอร์ตและแนะนำอยู่ตลอด เราไม่เคยรู้สึกว่าถูกลอยแพเลย

“ที่สำคัญเพื่อนร่วมงานก็ช่วยได้มาก เพื่อนร่วมงานดีมาก ช่วยรับฟัง ช่วยซัปพอร์ต คุยเล่นด้วยได้ เป็นไม่กี่ที่ทำงานที่เราทำแล้วมีเพื่อนสนิท เพราะเราใช้เวลาด้วยกันนานมาก ตั้งแต่เช้าจรดเย็น แล้วตอนเย็นทำงานเสร็จก็ยังจะไปกินข้าวด้วยกันต่อ หรือว่าเสาร์-อาทิตย์ก็ยังนัดเจอกันอยู่ ไปทำงานเหมือนไม่ไปทำงาน เหมือนมาเจอเพื่อน สนุกมาก”

“เรียน MBA ยังไม่ลึกเท่าเรียนที่ Bluebik”

แม้ชีวิตที่ Bluebik จะสนุกสนานและตอบโจทย์แพสชันเป็นอย่างมาก แต่ทุกงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา 

หลังทำงานมาได้ระยะหนึ่ง ของขวัญคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องไปเรียนต่อ โดยเธอเล็งเป้าไปที่โปรแกรม Tech MBA ที่ SC Johnson Cellege of Business, Cornell University ซึ่งเจาะจงความเชี่ยวชาญไปที่การพัฒนาและบริหารจัดการโปรดักต์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี

ในการสมัครเรียน MBA โปรแกรมใดก็ตาม เป็นที่รู้กันว่า 2 สิ่งสำคัญที่ผู้สมัครต้องตั้งใจเตรียมตัวและคราฟต์สุดๆ คือ คะแนน GMAT และ Personal statement

สำหรับอย่างแรกนั้น ของขวัญออกตัวเลยว่า “คะแนน GMAT เราเข้า Cornell ไม่ได้ ไม่มีใครเข้าที่นี่ได้ด้วยคะแนนเท่าเรา เราได้ 650 แต่เพื่อนๆ ได้เกิน 700 กันทั้งนั้น”

ถ้าคะแนนไม่ถึงแล้วอะไรที่ทำให้เธอเข้า Cornell ได้ล่ะ?
คำตอบอยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์ และการรู้จักนำเสนอตัวเอง

“ตัว Personal statement เขาให้ทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอหรือ Powerpoint เราเลือกทำเป็น Instagram ที่เล่าว่า สิ่งที่ทำให้เราเป็นตัวเรา สิ่งที่เราอยากทำ คืออะไรบ้าง ซึ่งสิ่งที่เราอยากทำและตอนนี้ก็ยังอยากทำก็คือการทำแพลตฟอร์มช่วยชาวนาชาวสวนขายของโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง

“แล้วก็มีการสัมภาษณ์ด้วย สำหรับระดับมหาวิทยาลัยเขาจะเน้นถามว่าแพสชันคืออะไร เป้าหมายในชีวิตคืออะไร ซึ่งตอนทำที่ Bluebik เรามี Exposure กับ C-Suite ไม่ว่าจะเป็น CEO, CTO, VP ดังนั้นเราจะได้ฝึกการพูดและการนำเสนอมา”

จากนั้นเมื่อเข้าไปเรียน MBA จริงๆ ของขวัญกลับพบว่า “เรียน MBA ยังไม่ลึกเท่าเรียนที่ Bluebik เรียน MBA มันคือจับๆ นิดๆ แต่เราอยากรู้ลึกกว่านี้ เพราะเวลาทำที่ Bluebik มันลึกกว่านั้น ผลงานก็ออกมาเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่า 

“ตอนเรียนเรารู้สึกว่าง่าย ไม่ได้ Struggle ขนาดนั้น เพราะที่ Bluebik ให้เราทำอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำให้เราเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ง่ายและเร็วอยู่แล้ว และด้วยความที่เราเคยทำโปรเจกต์ที่ใหญ่มากทั้ง Scale และ Scope คือทำงานให้กับลูกค้าที่เป็นธนาคารใหญ่ในประเทศไทย ทำ Payment innovation และโปรดักต์ต่างๆ ที่ใหม่สำหรับประเทศ ทำให้เวลาเรียน เช่น เรียนเรื่อง Framework เราก็จะเห็นภาพชัดเจน เวลาคุยกับคนในคลาส เราก็มีตัวอย่างไปแชร์”

แต่ถึงอย่างนั้นการเรียน Tech MBA ก็ไม่ได้ทำให้ของขวัญผิดหวัง เธอยังคงได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน “มีคลาสหนึ่งที่สอนเรื่อง Creative industry มันคือโปรดักต์ที่ไม่ใช่ทุกคนจะคิดเหมือนกัน เป็นความชอบ-ไม่ชอบ เช่น ศิลปะ อาหาร ดนตรี แล้วอะไรที่จะทำให้เราขายของพวกนั้นได้ เราก็สนใจ” 

และอีกหนึ่งข้อดีที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเพื่อน “คนที่ไปเรียนจะมีเป้าหมายคล้ายๆ กันว่าอยากทำอะไร แต่ละคนมีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต ไม่ได้มาเล่นๆ ก็เลยคอนเนกต์กันง่าย จนตอนนี้เรียนจบมา 3 ปีแล้วก็ยังสนิทเหมือนเดิม”

และก็เป็นเพื่อนที่ MBA นี่แหละที่ชี้ทางสู่ Amazon ให้กับเธอ

“ถ้าไม่ได้ทำงานที่ Bluebik คงไม่มีประสบการณ์แบบนี้”

หลังเรียนจบ เพื่อนๆ ของของขวัญหลายคนสมัคร Leadership Development Program In Operations  โปรแกรมพิเศษจาก Amazon ซึ่งเปิดโอกาสให้บัณฑิต MBA หรือปริญญาโทสาขาอื่นๆ เข้ามาทำงานระดับผู้จัดการในสายงาน Operations ก่อนที่จะได้รับมอบหมายตำแหน่งที่เหมาะสม

แม้ตอนแรกจะไม่ได้สนใจ แต่ของขวัญก็ลองสมัครไปตามคำชักชวนของเพื่อน 

แน่นอน ผลคือใบสมัครของเธอผ่านการพิจารณาเบื้องต้นไปแบบสบายๆ 

แต่ความยากรออยู่ที่รอบถัดๆ ไปนี่แหละ

“ด่านแรกเขาส่งข้อสอบมาให้เขียนตอบกลับไป เป็นการจำลองสถานการณ์ในที่ทำงานว่า ‘ถ้าคนพูดกับคุณแบบนี้ คุณจะตอบว่าอะไร’ หรือ ‘ถ้าเจอเหตุการณ์นี้ คุณจะทำอย่างไร’ เป็นคำถามเรื่องพฤติกรรมและลักษณะนิสัยมากกว่า ตอนแรกเราคิดว่าคงไม่ได้แน่เลย เพราะในโลกที่แข่งขันสูง เขาอาจไม่ได้ต้องการคนแบบเรา คือมันจะมีคำถามข้อหนึ่งถามว่า ‘ถ้าเพื่อนร่วมงานทำงานผิด พรีเซนต์ผิด แล้วเจ้านายว่าทั้งเขาและคุณ คุณจะทำอย่างไร’ เราก็ตอบตามที่คิดจริงว่า ‘คงไม่ไปบอกเจ้านายว่านั่นไม่ใช่ความผิดฉัน จะช่วยเพื่อนร่วมงาน อยากให้ชนะไปด้วยกัน’ แต่สุดท้ายก็ผ่านด่านนั้นมาได้

“ด่านที่สองเป็นการสัมภาษณ์ 4 ชั่วโมงกับ 4 คนต่อเนื่องกัน เขาถามคำถามที่เกี่ยวกับ Leadership principles ของ Amazon เช่น หลักการเรื่อง Deliver results เขาก็จะถามว่า ‘คุณเคยทำงานอะไรที่มีเวลากระชั้นชิด แต่ต้องทำให้สำเร็จไหม คุณทำอย่างไร’ ซึ่งเขาแนะนำว่า ควรยกตัวอย่างให้ได้ 3 เหตุการณ์ต่อ 1 หลักการ ซึ่งเอาจริงๆ มันยากมากนะ ทำงานมา 5 ปีจะมีเรื่องอะไรมาให้ตอบได้ขนาดนั้น แต่การที่เราเคยทำงานที่ Bluebik แล้วทำในโปรเจกต์ที่ใหญ่มาก โปรดักต์เยอะ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเยอะ ได้ทำงานกับ CEO ของธนาคารใหญ่ในไทย ได้ทำโปรเจกต์นวัตกรรมที่เพิ่งเคยมีในประเทศไทยเป็นที่แรก แล้วยังได้สอนคน ได้บริหารทีม ทำให้เรามี Exposure ในการทำงานเยอะมาก ทั้งหมดนี้ช่วยเราตอนตอบคำถามได้เยอะมาก เรื่องราวทุกอย่างที่เราเล่าให้เขาฟังคือไม่ได้แต่งขึ้นมาเองเลย เป็นเรื่องจริงทุกเรื่อง ซึ่งถ้าไม่ได้ทำงานที่ Bluebik คงไม่มีประสบการณ์แบบนี้ มันหาไม่ได้ที่ไหน มองย้อนกลับไปก็ยิ่งรู้สึกว่าตัดสินใจถูกที่ออกจากบริษัทที่ทุกคนคิดว่ามั่นคงแล้วมาทำที่ Bluebik” 

ตัดภาพมาวันนี้ ของขวัญทำงานที่ Amazon มาได้เกือบ 3 ปีแล้ว หลังจากหมุนเวียนไปเป็นผู้จัดการแผนกต่างๆ มาเรียบร้อย ปัจจุบันเธอเป็น Senior Program Manager, Supply Strategy and Programs ดูแลเรื่องการวางแผนและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบริหารจัดการการขนส่งช่วง Middle Mile ครอบคลุมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา

เช่นเคย ของขวัญไม่หวั่นไหวแม้จะต้องรับผิดชอบงานที่ใหญ่ทั้ง scale และ scope ขนาดนี้

“เวลาคนบอกว่ายังทำงานดีไม่พอ สมมติสั่งรถหรือจองคนขับไว้มากเกินไป แล้วต้องเสียเงินเยอะ แต่ตราบใดที่เรารู้ว่าจะแก้ยังไง มันจะไม่กดดัน เพราะเรารู้ว่า โอเค แก้ตรงนี้ก่อน ลองทำไป ถ้าไม่ดีขึ้น แสดงว่าวิธีนี้ยังไม่ใช่ หาวิธีใหม่ ลองใหม่ ทุกปัญหามีคำตอบ การหาคำตอบอาจจะยากหน่อย แต่ถ้าคุณหาเจอแล้วก็โอเค”

เธอบอกว่า ก็มีบ้างบางวันที่งอแงโทรหาแม่ แต่สาเหตุจริงๆ เป็นเรื่องความโดดเดี่ยวจากการทำงาน Work from home แบบ 100% มากกว่าเรื่องความเครียดหรือความกดดัน ทุกวันนี้เธอยังคงคิดถึงบรรยากาศการทำงานที่สนุกสนาน ใกล้ชิด ได้โยนไอเดียกันในออฟฟิศ และความสัมพันธ์แบบเพื่อน พี่ น้องที่ Bluebik อยู่เสมอ

สุดท้ายนี้ ของขวัญฝากคำแนะนำให้กับคนที่มีแพสชันในการทำงานคล้ายๆ กัน และมีความฝันระยะไกลว่าอยากเรียนต่อ Ivy league หรือทำงานต่างประเทศว่า

“มาทำงาน Bluebik สิ คนที่นี่เก่ง คุณจะได้เรียนรู้เยอะ และจะได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่กำลังโต เป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาดจริงๆ”