“ตอน ม.ต้น ในคลาสมี 121 คน แล้วผมสอบได้ที่ 119”
ถ้าคุณได้รู้จัก ‘ธัช–ธีรธัช อารยะการกุล’ ในวันนี้ คุณจะแทบไม่อยากเชื่อประโยคด้านบน แม้มันจะออกมาจากปากของเขาเองก็ตาม เพราะธัชในวันนี้กำลังเรียน MBA ที่ Columbia University หนึ่งในมหาวิทยาลัยระดับ Ivy League ในประเทศสหรัฐอเมริกา
และถ้าย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านั้นอีกนิด ธัชคือนักการตลาดประจำบริษัทด้านนวัตกรรมที่จอดรถในเครือของ Bluebik และเคยเป็น Associate Category Manager ประจำ Lazada Thailand ด้วย และถ้าย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านั้นอีกหน่อย ธัชเป็นนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาสารสนเทศและการสื่อสาร หลักสูตรนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จากเด็กนักเรียนที่สอบได้ที่ (เกือบ) โหล่ในวันนั้น เขา ‘พยายาม’ จนกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและนักเรียน Ivy league ได้อย่างไร ธัช Video call ทางไกลข้ามไทม์โซนมาเล่าให้เราฟังแล้ว
อาชีพในฝันของคุณคืออะไร
ตั้งแต่จำความได้ผมก็อยากเป็นพ่อค้า อยากขายของ เพราะตอนเด็กๆ วิ่งเล่นในร้านขายของของอากงอาม่า
ตอนประถมพ่อแม่ไม่ได้ให้ค่าขนม แล้วตอนนั้นมันมีขนมที่แถมเหรียญโปเกมอน ผมกินขนมเสร็จก็จะเก็บเหรียญโปเกมอนไว้ แล้วไปขายเพื่อนที่โรงเรียน เอาเงินที่ได้ไปซื้อขนม
ตอนนี้ก็ยังอยากทำธุรกิจอยู่ แต่ไม่ได้มีความคิดเฉพาะเจาะจงว่าอยากทำอะไร รู้แค่อยากเป็นผู้ประกอบการ แล้วก็อยากทำประโยชน์ให้กับสังคมด้วย ผมกำลังพยายามมองหาโอกาสต่างๆ ว่าจะสามารถเติบโตไปในช่องทางไหนได้บ้าง
อยากเป็นผู้ประกอบการ แล้วทำไมเลือกเรียนคณะวิศวะฯ
จริงๆ แล้วตอนแรกไม่ได้มี preference ว่าอยากจะเรียนอะไร แต่ที่บ้านอยากให้ลูกทุกคนเรียนสายวิชาชีพมากกว่า ก็เลยเลือกวิศวะฯ แล้วตอนนั้นเรื่องไอทีมาแรง ภาคที่เรียนก็เรียนเกี่ยวกับไอทีเป็นหลัก พวกซอฟต์แวร์ โค้ดดิ้ง ก็เลยคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ในอนาคต
เรียนจบแล้วทำงานอะไรมาบ้างก่อนทำ Bluebik
ผมไปช่วยธุรกิจที่บ้านอยู่ช่วงหนึ่ง ดูเรื่อง Sales & Marketing ซึ่งก็ไม่ได้เรียนมาโดยตรง ผมนั่งเสิร์ชอินเทอร์เน็ตดูเลยว่าต้องทำอย่างไร แล้วก็ลองผิดลองถูก การทำงานที่บ้านคือเราสามารถลองได้ ลองไปเรื่อยๆ ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี แล้วเก็บเอาไว้มาใช้พัฒนาต่อไป
จากนั้นก็ไปทำงานเป็น Associate Category Manager ที่ Lazada มีหน้าที่ดูแลเรื่อง Sales และ Marketing แล้วก็ร้านค้าทั้งหมดใน Category ของเรา พูดง่ายๆ คือต้องรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับ Category ที่เรารับผิดชอบ และทำอย่างไรก็ได้ให้ Category ของเราเติบโตให้ได้มากที่สุด โดยที่เราไม่ต้องลง Resource เพิ่มมากมาย
แล้วพอมาทำ Bluebik ทำอะไร
ทำ Marketing เป็นหลัก คือมาวาง Marketing plan ของโปรเจกต์นวัตกรรมที่จอดรถ แล้วก็ช่วยจัดการเรื่องฮาร์ดแวร์ต่างๆ ที่นำเข้ามาจากจีนด้วย จากนั้นก็ขยับมาเป็น Project manager ที่ช่วยดูแลโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับแพลตฟอร์ม
ตอนทำงานที่ Bluebik ชอบอะไรที่สุด
ชอบที่ได้มี International exposure จากที่แบ็กกราวนด์ผมอยู่ไทยมาตลอด เรียนก็เรียนที่ไทย ถึงจะเป็นหลักสูตรนานาชาติ แต่ก็เป็นมหาวิทยาลัยไทย เพื่อนร่วมคลาสและอาจารย์ก็เป็นคนไทย ทำงานก็ทำงานที่ไทย พอได้มาทำที่ Bluebik ผมเลยได้เรียนรู้ที่จะทำงานกับคนหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายแบ็กกราวนด์
เมื่อก่อนตอนทำงานผมอาจจะคิดว่า คนอื่นเขาคงคิดเหมือนๆ เรา มีประสบการณ์คล้ายๆ เรา แต่พอมาทำงานกับคนที่มีแบ็กกราวนด์หลากหลาย ได้เจอคนหลากหลายเชื้อชาติ ผมเลยได้รู้ว่าแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ต้องทำความเข้าใจว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร และต้องเปิดรับความคิดเห็นของเขา เพื่อเอามาพัฒนางานของเราให้ประสบผลสำเร็จมากที่สุด
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้หน่อยได้ไหม
มีครั้งหนึ่งเกิดคอนฟลิกต์กันในทีม ต่างคนต่างแรงใส่กัน เพราะเราไม่รู้เจตนาของอีกฝ่าย แต่ปัญหามันมาจากวัฒนธรรมของคนอีกประเทศที่เขาจะพูดจาตรงไปตรงมา ต่างจากวัฒนธรรมของคนไทยที่จะพยายามประนีประนอม ทำให้ตอนเราได้รับสารจากเขา เลยคิดไปว่าเขามีเจตนาไม่ดี แต่จริงๆ แล้วเขามีเจตนาดี เขาอยากให้งานสำเร็จ อยากให้เราเข้าใจประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม
คุณมาสู่ความเข้าใจนั้นได้อย่างไร
เราก็นัดเปิดอกคุยกัน ถามกันตรงๆ เลย ทำไมยูพูดแบบนี้ ทำไมเราพูดแบบนี้ นั่งเคลียร์กันที่ละจุดให้จบไปเลย จะได้ไม่ค้างคา ทางฝั่งผมเองก็ต้องปรับวิธีการพูดคุยการสื่อสารด้วย
สุดท้ายสไตล์การทำงานของคุณเปลี่ยนไปไหม เช่นว่า พูดตรงไปตรงมาขึ้น ประนีประนอมน้อยลง
ผมว่ามันต้องผสมผสานกัน เราก็ต้องดูด้วยว่าวัฒนธรรมในทีมเป็นอย่างไร สมมติวัฒนธรรมในทีมเรา หรือลักษณะของคนในทีมเรา เขาไม่ชอบสไตล์การพูดตรงๆ เราก็ต้องมีเทคนิคในการคุยกับเขาให้ตรงประเด็นแต่ไม่ทำลายความรู้สึกของเขา
จริงๆ ผมว่ามันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งการทำงานใน Diverse environment ทำให้เราเข้าใจการดีลกับคนหลากหลายรูปแบบมากขึ้น แล้วก็เอาตรงนั้นมาประยุกต์ได้ในการทำงานในที่ถัดๆ ไป
ตอนที่จะไปเรียนต่อ เหตุผลเบื้องหลังคืออะไร
ข้อแรกคือ จริงๆ ผมยังอยากทำธุรกิจอยู่ จริงอยู่ที่เรื่องธุรกิจมันศึกษาเองได้ แต่เราอยากมีความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้จริงๆ เลยอยากเรียนต่อ
ข้อสองคือผมอยากมีคอนเนกชันกับคนต่างชาติ เผื่อในอนาคตจะมีลู่ทางในการทำธุรกิจกับคนต่างชาติได้
ข้อสามคือผมอยากไปเห็นมุมมองใหม่ๆ เพราะจริงๆ แล้วหลายธุรกิจที่เติบโตในเมืองไทย เช่น e-Banking มันก็เกิดขึ้นที่ต่างประเทศมาก่อนแล้วค่อยมาไทย ผมเลยคิดว่าเราอาจจะได้ไปเห็นโอกาสทางธุรกิจในต่างประเทศแล้วเอากลับมาทำที่ไทยได้
ตอนนั้นเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
ผมเริ่มต้นจากการวางเป้าหมายก่อน เพราะการเรียน MBA เราต้องมีเป้าหมายก่อนว่าอยากทำอะไรในอนาคต ส่วนตัวผมสนใจด้าน Health care เพราะตัวเองมีโรคประจำตัวที่รักษาไม่ได้ ได้แต่ประคองอาการ ค่าใช้จ่ายก็สูง ผมเลยมีความคิดว่าอยากทำให้คนในประเทศเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ง่ายขึ้น
ผมเริ่มรีเสิร์ชว่ามหาวิทยาลัยไหนดังด้าน Health care ก็ลิสต์ออกมาได้ 4-5 ที่ แล้วก็รีเสิร์ชด้านอื่นๆ ประกอบกันด้วย เพราะไม่อยากล็อกตัวเองไว้ที่ด้านเดียว ก็เลยตั้งธงว่า โอเค มหาวิทยาลัยที่เราอยากเข้าจะต้องดังด้าน Health care แต่ด้านอื่นๆ ก็ต้องดังด้วย สรุปเลยได้ Columbia ออกมาเป็นชอยส์แรก
จากนั้นผมก็อ่านหนังสือเตรียมสอบ GMAT แบบจริงๆ จังๆ เลย อ่านตั้งแต่หลังเลิกงานจนถึงดึก ตอนนั้นจำได้เลยว่า เราเลิกงาน 2 ทุ่ม แล้วอ่านหนังสือและทำโจทย์จาก 3 ทุ่ม ถึงตี 3 ทุกวัน ใช้ชีวิตอยู่แบบนั้น 4-5 เดือน
เคล็ดลับความสำเร็จในการสอบเข้า MBA คืออะไร
ความพยายาม
จริงๆ ผมเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่งเลยนะ จำได้เลยว่าตอน ม.ต้น ในคลาสมี 121 คน แล้วผมสอบได้ที่ 119
ตอนนั้นผมโดนดูถูกด้วย ก็เลยเก็บตรงนั้นมาเป็นแรงผลักดัน ถ้าเรารู้ว่าไม่เก่งเท่าเขา ก็ต้องพยายามให้มากกว่าเขา เราพยายามให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แล้วก็พยายามมาเรื่อยๆ
อย่างตอนสอบ GMAT ครั้งแรกๆ ได้คะแนนน้อยมาก ผมก็พยายามให้มากขึ้น อ่านหนังสือไม่หยุดเลย แล้วก็ sacrifice ทุกอย่าง ไม่คุยกับเพื่อน ไม่ดูหนัง ไม่ดูซีรีส์
ตอนทำ Essay ประกอบการสมัครผมก็ตั้งใจมาก บางคนเขาเขียนแค่อาทิตย์เดียวแล้วส่งเลย แต่ผมเตรียมอยู่ประมาณ 5 เดือน เพราะรู้ว่าภาษาเราก็ไม่ได้ดี และก็พยายามคิดว่าจะเล่าเรื่องราวของเราอย่างไรให้โดดเด่นกว่าคนอื่น ผมปรึกษาคนไม่ต่ำกว่า 20 คนตอนที่จะยื่น คือพยายามมากๆ ขวนขวายมากๆ เท่าที่สามารถจะทำได้
แล้วตอนนั้นเล่าเรื่องราวอะไรไปใน Essay บ้าง
คือจริงๆ มันเป็นคำถาม 3 ข้อ 3 Essay มีคำถามเรื่องเป้าหมาย เรื่องทำไมถึงอยากเรียนที่โคลัมเบีย แล้วก็อีกข้อหนึ่งให้เล่าเรื่องหนังสือ เพลง หรือหนังที่ชอบ
อย่างเป้าหมายผมก็ตอบเรื่อง Health care อย่างที่เล่าให้ฟัง เขียนเล่าไปว่า ทำไมถึงอยากทำ Health care แล้วงานที่เราเคยทำมาสนับสนุนเป้าหมายของเราอย่างไรบ้าง แล้วตอนนี้เรายังเหลือช่องว่างอะไรอยู่ แล้วเราจะเอาความรู้ที่ได้จาก Columbia มาเติมเต็มช่องว่างนั้นแล้วไปให้ถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร
การทำงานที่ Bluebik ช่วยเตรียมตัวให้คุณพร้อมสำหรับการสมัครเรียนอย่างไร
คงเป็นเรื่องการคิดเป็นระบบระเบียบ เพราะที่ Bluebik ทำงานกันเป็นระบบมาก
อย่างตอนเขียน Personal statement ผมจะรู้เลยว่าควรวางเส้นเรื่องอย่างไรให้เรื่องราวของเราน่าสนใจ ซึ่งสิ่งที่ผมทำคือผมพยายามเชื่อมโยงทั้ง 3 ข้อเข้าด้วยกัน บางคนอาจจะมองว่า Essay แต่ละข้อมันเป็นคนละคำถามเลย แล้วตอบแยกข้อไป แต่ด้วยความที่แต่ละข้อเขาจะกำหนดจำนวนคำ ห้ามเกิน 300 หรือ 500 คำ มันไม่มีทางเขียนทุกอย่างพออยู่แล้ว ผมเลยใช้ประโยชน์จากตรงนั้นเชื่อม 3 หัวข้อเข้าด้วยกัน เขียนให้มันส่งเสริมกันและกัน ก็จะเหมือนได้พื้นที่มากกว่าคนอื่น
พอได้ไปเรียนจริงๆ เป็นอย่างไรบ้าง
เพิ่งเปิดเรียนมาได้ 1 เดือน ต้องบอกเลยว่าหนักจริงๆ หนึ่งคือการบ้านเยอะมาก สองคือต้องปรับตัวเยอะมาก
เรื่องการบ้านคือมีทุกวิชา มีทุกคาบ และการบ้านครึ่งหนึ่งเป็นงานกลุ่ม จะไม่เหมือนที่ไทยที่ เรียนเสร็จเรารีบกลับบ้านไปทำการบ้านให้เสร็จ ที่นี่เราต้องไปคุยกับเพื่อนว่า ใครจะทำอะไร ถ้าถนัดตรงนี้จะหลีดการบ้านวิชานี้ได้ไหม อีกคนถนัดอีกอย่างหนึ่ง หลีดตรงนี้ได้ไหม หรือถามเพื่อนว่าความคิดเห็นเขาเป็นยังไง
ส่วนเรื่องการปรับตัว ผมอยู่ไทยมาตลอดตั้งแต่เกิด ไม่เคยไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเลย มีแค่ไปเที่ยว แล้วห้องเรียนที่ต่างประเทศกับห้องเรียนที่ไทยไม่เหมือนกันเลย ที่นี่ในคลาสจะเน้นการมีส่วนร่วม มีการโต้ตอบกันสูงระหว่าง Professor กับนักเรียน หรือระหว่างนักเรียนกับนักเรียน บางวิชาเราต้องอ่านเคสก่อนทุกครั้งเพื่อไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในห้องว่าคิดอย่างไรกับเคสนี้
รวมๆ มันเรียกร้องพลังงานเยอะมากในการจะเรียนให้ราบรื่น ก็เลยค่อนข้างเหนื่อย แต่หวังว่าในอนาคตจะดีขึ้นถ้าเราปรับตัวได้มากกว่านี้
มีเรื่องอะไรที่คุณได้ไปเรียนรู้ใหม่ที่นั่นบ้างไหม
อาจจะไม่ได้ถึงกับเรียนรู้ใหม่ แต่ที่นี่เขาจะปลูกฝังให้เรากล้าที่จะลอง แล้วก็ไม่กลัวที่จะทำผิด โดยที่เขาจะไม่ตัดสินเราเลย
อย่างเวลา Professor ถามคำถามในห้อง เขาจะชี้เลยว่าให้ใครตอบ ซึ่งบางทีเราอาจจะไม่รู้ ตอบไม่ได้ หรือบางคนที่ภาษาไม่ดีมาก เขาก็จะพยายามช่วยให้แต่ละคนถ่ายทอดความคิดออกมาให้ได้เยอะที่สุด เพราะว่าความคิดเห็นของเราก็จะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนในห้อง อีกอย่างสมมติถ้าเราทำผิด เราจะได้รู้ว่าเราผิดเพราะอะไร เขาก็จะช่วยไกด์เรา เขาทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นที่ที่เซฟมากๆ ในการที่จะเรียนรู้
คุณมองว่าตัวเองเป็นคนกล้าลองผิดลองถูกอยู่แล้วไหม
จริงๆ ผมค่อนข้างกลัว เพราะตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาอยู่โรงเรียน ถ้าไม่ทำตามเพื่อน หรือมีความคิดไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ ก็จะถูกมองว่านอกคอก ผมเลยกลัวที่จะลองผิดลองถูก กลัวที่จะผิดแล้วเป็นที่จับตาของคนอื่น
แต่ผมก็ค่อยๆ ก้าวออกมาจาก Comfort zone มากขึ้น กล้าลองผิดลองถูกมากขึ้น อย่างตอนทำที่ Bluebik จริงๆ มีช่วงที่เคยมาฝึกงานเป็น Consultant ก่อนด้วย ตอนนั้นเราใหม่มาก แต่คนในทีมหรือเมเนเจอร์เองก็เปิดโอกาสให้เราแสดงความคิดเห็นโดยไม่ตัดสิน ตั้งใจฟังเรา เอาความคิดเราไปพัฒนาต่อ
หรือการมาเรียนที่นี่ เราก็พยายามที่ก้าวออกมามากขึ้น จากวันแรกๆ ที่ทุกคนในห้องแย่งกันยกมือ แล้วเรายังกลัวที่จะยกมือ แต่พอเราโดน Professor ชี้ครั้งหนึ่ง พอเราตอบไป เขายิ้มให้กับคำตอบเรา แล้วเขาบอกว่าเป็นคำตอบที่ดี ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดว่าเราตอบดี แต่พอได้เจอแบบนี้ เราก็กล้ายกมือตอบมากขึ้น
เท่าที่ผ่านมา 1 เดือน สิ่งที่ชอบที่สุดเกี่ยวกับการไปเรียน MBA ที่ Columbia คืออะไร
คือเรื่องนี้เลย เขาเคารพความคิดเห็นคน และเขาสนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนร่วม จากที่ผมค่อนข้างไม่กล้าพูด เพราะกลัวว่าความคิดเราจะผิดหรือไม่ดี ผมก็เปิดมากขึ้น กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น ทำให้โตขึ้นไปอีกสเตปหนึ่ง
สุดท้ายนี้ มีคำแนะนำอะไรอยากฝากถึงคนอ่านที่อาจจะมีความฝันว่าอยากทำงานที่ Bluebik และอยากเรียนต่อต่างประเทศเหมือนคุณบ้างไหม
ถ้าเรื่องการเรียน อยากให้ค้นตัวเองให้เจอก่อนว่าอยากเรียนอะไรจริงๆ แล้วพอเจอปุ๊บ อยากให้ค้นต่อว่าอยากเรียนที่ไหน ที่ไหนจะตอบโจทย์เราที่สุด และพาเราก้าวไปถึงจุดหมายที่เราตั้งไว้ได้ พอเลือกได้แล้วก็ต้องพยายามครับ บนโลกใบนี้ทุกอย่างได้มาด้วยการพยายาม ผมเชื่อว่าถ้าเราพยายามเราจะต้องไปถึงได้