Cloud Computing ตัวช่วยสร้างความได้เปรียบให้ธุรกิจ
ท่ามกลางความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้ไวและลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นลงให้มากที่สุด เพื่อสร้างโอกาสการขยายตัวใหม่ๆ
Cloud Computing เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่สามารถสร้างความได้เปรียบให้ธุรกิจ เนื่องจากช่วยลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเป็นของตนเอง (On-Premise) อีกทั้งช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้ง การดูแลรักษาระบบ ที่สำคัญช่วยประหยัดเวลาและยังมีความยืดหยุ่นด้านค่าใช้จ่าย
สำหรับข้อดีในการนำเทคโนโลยี Cloud computing มาปรับใช้กับธุรกิจ ประกอบด้วย
🔹Cost Efficiency: บริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์แบบเดิม ที่ปกติช่วงเริ่มต้นการใช้งานมีคนใช้บริการน้อย ทำให้ไม่เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) แต่ระบบ Cloud จะมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่ใช้งานจริง คือใช้แค่ไหนจ่ายเท่านั้น
🔹Shortened time to market: เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดได้เร็ว รวมทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบเอง เพราะธุรกิจบางประเภทที่จำเป็นต้องมีแอพพลิเคชัน อาจไม่สามารถพัฒนาระบบขึ้นเองได้ ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันไม่ทันคู่แข่ง หรือทำให้เสียโอกาสในการทำธุรกิจไป
🔹Anywhere – Anytime: เทคโนโลยี Cloud จะเพิ่มความสะดวกในการทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา เนื่องจากระบบจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ดังนั้น เพียงแค่มีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้จะสามารถทำงานได้ทันที กรณีช่วง Work from home ที่หลายบริษัทหันมาใช้บริการ Software as a Service (SaaS) จากผู้ให้บริการหลากหลายที่ เช่น Microsoft team, Google hangout เพื่อช่วยในการทำงานประสานงานกัน
🔹Flexibility: การใช้ Cloud ช่วยทำให้การทำงานมีความยืดหยุ่นขึ้น เพราะสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น ช่วงการ Scale up ที่ต้องการขยายธุรกิจให้เติบโตเร็วเมื่อเห็นโอกาสทองในการทำรายได้ หรือ Scale down ลง เมื่อต้องการลดใช้งานลง เช่น ตอนที่มีการแพร่ระบาดของโควิด เทคโนโลยี Cloud computing อาจไม่สามารถตอบโจทย์ทุกธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจแต่ละประเภทมีความแตกต่างและมีลักษณะเฉพาะ
ก่อนการนำเทคโนโลยี Cloud มาปรับใช้กับองค์กรนั้น ธุรกิจควรวางวิสัยทัศน์และสร้างความเข้าใจร่วมกันภายในองค์กรเสียก่อน เนื่องจากการใช้งาน Cloud จำเป็นต้องทำงานประสานกันทั้งฝ่ายธุรกิจและฝ่าย IT เพื่อออกแบบโครงสร้างการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร โดยปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่จะองค์กรประสบความสำเร็จในการใช้งานเทคโนโลยี Cloud ได้แก่
- ประเมินขีดความสามารถด้านไอทีขององค์กร (Understand your IT capabilities)
ก่อนนำเทคโนโลยี Cloud มาประยุกต์ใช้ ควรประเมินศักยภาพทางด้านระบบ IT ขององค์กรว่ามีความเหมาะสมจะใช้ cloud หรือไม่ ถ้ามีระบบเก่า (on premise) อยู่แล้วต้องคำนึงถึงเรื่องการโอนย้ายมาใช้ระบบใหม่ซึ่งมีกระบวนการซับซ้อน ดังนั้น ควรมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยวิเคราะห์และเปรียบเทียบระบบปัจจุบันกับระบบที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถออกแบบสถาปัตยกรรมด้านไอที (IT Architecture) ได้ตอบโจทย์ตามความต้องการและรองรับกับการทำงานได้อย่างเหมาะสมที่สุด
- เลือกกลยุทธ์และวางแผนการ Migration ให้เหมาะกับองค์กร (Develop migration roadmap)
การวางแผนเพื่อย้ายระบบและข้อมูลขึ้นไปบน cloud สามารถเลือกให้มีการใช้ทั้ง Cloud จากผู้ให้บริการและ on premise ใช้งานควบคู่กันไป (Hybrid cloud) ในขณะเดียวกันการวางแผนเพื่อการโอนย้ายที่ดีนั้นควรวางแผนให้สามารถย้ายระบบหรือ Application ต่างๆ จากผู้ให้บริการแต่ละรายได้อย่างอิสระ เพื่อลดปัญหาการพึ่งพา Vendor จากรายใดรายหนึ่ง
- ประยุกต์แนวคิดการทำงานแบบ Agile (Adapt agile to organization)
การทำ Cloud transformation ให้ประสบความสำเร็จนั้น จะต้องอาศัยการทำงานแบบ Agile เนื่องจากต้องการความรวดเร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลาเพื่อหาโครงสร้างที่เหมาะสมกับองค์กรที่สุด ดังนั้นบุคลากรในองค์กรควรมีความ Proactive และต้องพร้อมที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่มีความสนใจหรือจะเริ่มต้นใช้ Cloud มาช่วยในการดำเนินธุรกิจนั้น อาจจะมีความยุ่งยากในการจัดการ ซึ่งจะต้องมีการวิเคราะห์ เปรียบเทียบรูปแบบของการจัดเก็บข้อมูลหรือการดำเนินธุรกิจแบบเดิม รวมถึงขั้นตอนหรือความซับซ้อนในการย้ายข้อมูลที่มีอยู่เดิมไปไว้ที่ Cloud
ดังนั้น การหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้มาเป็นผู้ช่วยมือหนึ่ง ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี และน่าจะส่งผลให้กระบวนการทำงานเกิดประสิทธิภาพที่ดีกว่า เพราะทำให้ไม่ต้องมาลงรายละเอียดในการบริหารจัดการเอง ที่สำคัญทำให้ธุรกิจได้มุ่งเน้นไปยังการวางแผนปรับกลยุทธ์ในการตั้งรับกับการหารายได้หลัก รวมทั้งการฝ่าฟันกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังจะเกิดขึ้นดีกว่า