fbpx
Our people’s stories 8 December 2021

เปิดเคล็ดลับ เป็นคอนซัลต์ยังไงให้ใช้ชีวิตคุ้ม
Work smart, not work hard

ใกล้จะสิ้นปีกันแล้ว ใครที่ทำเป้าหมายปีนี้สำเร็จกันไปแล้วบ้าง ยกมือขึ้น ! หรือใครที่กำลังวางแผนว่าปีหน้าจะเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม อยากทำงานให้เก่งขึ้น บริหารจัดการเวลาให้ดีขึ้น มีชีวิตที่ Productive สุด ๆ วันนี้เราขอมานำเสนอบทสัมภาษณ์จาก แพร – ภาขวัญ อังคะหิรัญ – Manager จากทีม Management Consulting ของ Bluebik Group PLC. ถึงทิปส์และทริคของการทำงานแบบคอนซัลต์ยังไงให้ได้ทั้งงานสุดปังและใช้ชีวิตสุดคุ้ม ที่สามารถนำไปปรับใช้ให้ชีวิตการทำงานของคุณสนุกและมีสาระได้ไปพร้อม ๆ กัน เริ่มไปรู้จักกับเธอคนนี้ได้เลยว่า เธอจะทำอย่างไรให้ “Work smart, not work hard” ฉบับของ Management Consultant

รู้จักกับ แพร-ภาขวัญ Manager สุดชิค

แพรจบการศึกษาปริญญาตรีด้านบัญชีและบริหารธุรกิจหลักสูตรนานาชาติ (BBA) จาก Thammasat Business School และปัจจุบันทำงานกับ Bluebik เข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว โดยเริ่มต้นจากการเป็น Senior Consultant กับทีม Management Consulting ที่จะให้บริการด้านที่ปรึกษาทางธุรกิจกับกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ ในการนำเสนอ Growth Strategy เพื่อสร้างโอกาสและความก้าวหน้าในการผลักดันการทำ Digital Transformation ระดับองค์กร ซึ่งแพรบอกว่าความน่าสนใจอย่างหนึ่งของการร่วมงานกับ Bluebik แล้วสนุกคือการที่เราสามารถคิดและพัฒนากลยุทธ์ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย เพราะที่ Bluebik เราไม่ได้มีการทำงานที่เป็น Template แต่จะเน้นการเข้าใจการทำงานและบริบททางธุรกิจของลูกค้าจริง ๆ ก่อนนำมาพัฒนาออกมาเป็นกลยุทธ์ จึงทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้ และพัฒนาทักษะความรู้จากภาคอุตสาหกรรมและองค์กรต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เหมือนได้ทำงานหลายบริษัท และทำให้มี Learning curve ที่สูงกว่าที่อื่น

แพรได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น Manager เมื่อกลางปีที่ผ่านมา จากประสบการณ์และความสามารถโดดเด่น หลังจากที่ได้รับโอกาสในการลงมือทำจริงและดูแล Projects ด้วยตัวเอง ในการให้บริการกับลูกค้าขนาดใหญ่จากหลายภาคอุตสาหกรรม ทั้งการเงิน การธนาคาร และกลุ่มธุรกิจประกันภัย รวมถึงจากความสามารถในการสร้างสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าและภายในทีม จนเป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารของ Bluebik 

ความท้าทายในตำแหน่งใหม่

แน่นอนว่าเมื่อได้รับตำแหน่งใหม่ บทบาทและความคาดหวังจากทีมย่อมเปลี่ยนไป ซึ่งแพรเล่าให้เราฟังว่าความท้าทายหลัก มีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน 

1. Content Management

ไม่แปลกที่เมื่อได้รับตำแหน่งสูงขึ้น ย่อมต้องพัฒนาคุณภาพงานของตัวเองให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเป้าหมายของแพรคือการนำเสนอแผนงานกลยุทธ์ที่ลูกค้าสามารถนำไปใช้ได้จริง และเกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ แต่การสร้างผลงานให้ดีขึ้นได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการ Research และ Analysis เท่านั้น แต่รวมไปถึงการเข้าใจความต้องการของลูกค้าและแนวการนำไปใช้จริงด้วย

2. Client Management

การบริหารจัดการลูกค้าเป็นอีกหัวใจสำคัญ เมื่อก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการ นั่นก็คือการคุยงานตรง เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์กร ซึ่งลูกค้าในทีนี้คือระดับผู้บริหาร C-level ขององค์กรขนาดใหญ่ต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นความท้าทายแล้ว ก็ยังเป็นเหมือนโอกาสที่ไม่สามารถหาที่ไหนได้นอกจาก Bluebik ที่เราจะสามารถทำงานใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูงเหล่านี้ 

3. Team Management

เมื่อความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นขึ้น ทำให้เราต้องเริ่มมีลูกมือในการช่วยดูแลงานในแต่ละส่วนมากขึ้น จุดสำคัญคือการวางแผนภาพรวมและกระจายงานอย่างไรให้เหมาะสมกับแต่ละคน เพื่อให้แต่ละโปรเจกต์สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น รวมถึงการดึงศักยภาพของทีมแต่ละคนออกมาให้สามารถเติบโตไปได้ในทิศทางและความต้องการของเขา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องมองให้ออกว่าแต่ละคนมีความสนใจ ความสามารถและความเชี่ยวชาญในด้านใด

“Work Smart, not Work Hard” วิธีการทำงานแบบแพร

หลายคนคงมองว่าการทำงานแบบคอนซัลต์คือการทำงานหนักและอาจไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป แต่ก็แลกมาด้วยค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งไม่ได้เป็นเช่นนั้นกับ Bluebik เพราะที่นี่เองก็ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตของพนักงานทุกคนเช่นกัน โดยเรายึดหลักการทำงานแบบ  “Work Smart, not Work Hard” ซึ่งสำหรับแพรแล้ว หลักการทำงานอย่างฉลาด  มีอยู่ 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้

1. ใช้ Hypothesis-driven ในการทำงาน

เป็นแนวทางการทำงานแบบตั้งสมมติฐานภาพใหญ่ของเป้าหมายในการทำงานและค่อย ๆ แตกประเด็นย่อยที่เป็นเหตุผลสนับสนุนของสมมติฐานเรา ลงมาเป็นเหมือน Driver tree ก่อนแล้วจึงไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมมาเพื่อเสริมให้แต่ละประเด็นแข็งแรงมากขึ้น ลักษณะเป็นเหมือนการทำงานแบบ Top-down ลงมา แทนที่จะเป็นการทำงานแบบ Bottoms-up หรือการทำงานจากรายละเอียดเล็ก ๆ และนำมาประกอบกันเป็นภาพใหญ่ ซึ่งวิธีการทำงานของ Hypothesis-driven จะช่วยลดการทำงานที่ไม่จำเป็นลงไปค่อนข้างมาก และมีเวลาให้เราโฟกัสกับประเด็นหรือเนื้อหาที่ลูกค้าต้องการได้ชัดเจนมากขึ้น

2. กระจายงานให้เหมาะสม

หลังจากที่เราสร้างสมมติฐานจากข้อแรกและแตกออกมาเป็นประเด็นสนับสนุนย่อย ๆ ลงมาแล้ว ต่อมาคือการกระจายงานในส่วนต่าง ๆ ให้กับทีม ซึ่งการทำงานแบบ Hypothesis-driven จะช่วยให้ทีมแต่ละคนสามารถมี Ownership ในงานของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และทำให้แพรในฐานะ Manager ทำงานได้ง่ายขึ้น โดยให้ทีมแต่ละคนเข้ามาอัปเดตงานในส่วนที่รับผิดชอบ เพื่อให้แพรสามารถดูแลควบคุมภาพรวมของงานได้ง่ายมากขึ้น และทีมก็มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้และสร้างผลงานของตัวเองได้มากขึ้น

3. เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า

การเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นเหมือนการอ่านเกมของธุรกิจให้ออก ดังนั้นประเด็นสำคัญของเราก่อนที่จะเริ่มงานคือการเข้าใจบริบทการทำธุรกิจของลูกค้า เพื่อค้นหาปัญหาที่แท้จริงของลูกค้า  โดยการศึกษาวิธีตั้งคำถามเพื่อให้ได้ค้นพบสาเหตุของปัญหา แนวทางการพูดคุยกับลูกค้า ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าเพื่อให้สามารถเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าและเป้าหมายของการดำเนินงาน เพื่อให้สุดท้ายแล้วง่ายต่อการทำงานของเราด้วยชนิดที่เรียกว่า 80/20 คือการทำงานเพียง 20% ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ถึง 80%

การรักษา Balance ไม่ให้ชีวิต Burn-out

ไม่ใช่แค่งานคอนซัลต์เท่านั้น แต่การทำงานที่ดีคือการสร้าง Time management ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหลักการทำงานของแพรทั้ง 3 ข้อช่วยให้สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น รวมถึงลดระยะเวลาในการทำงานที่ไม่จำเป็นออกไป อีกส่วนสำคัญคือการตั้ง Cut-off เวลาในการทำงานของตัวเอง เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าเราทำงานมากเกินไป หรือกดดันตัวเองในการทำงานแต่ละวัน ซึ่งวิธีในการทำงานของแพรที่จะช่วยรักษา Balance ในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวให้ดีขึ้นคือการตั้ง Key achievement เป็นรายสัปดาห์ ซึ่งจะช่วยให้เรามีความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น รวมถึงการตั้ง Hypothesis ข้างต้นไว้ได้ดี เพื่อให้สามารถเห็นภาพสุดท้ายของการทำงานได้ตั้งแต่แรก ๆ ก็จะช่วยให้การทำงานเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น

ถึงตาคุณแล้ว! คุณเองก็เป็นคอนซัลต์ที่ใช้ชีวิตสุดในทุกด้านได้
เพราะที่ Bluebik ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน แต่ได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน

  • Bluebik เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เกาะไปกับกระแสของดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ที่ทำให้เรามีโอกาสมากมายที่ได้ทำงานในหลากหลาย Project ร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่มากมาย รวมถึงมีโอกาสได้ร่วมงานกับผู้บริหารระดับสูงในแต่ละอุตสาหกรรมซึ่งจะช่วยให้เราเติบโตและได้เรียนรู้อย่างมาก 
  • ในการทำงานไม่ว่าจะอยู่ที่ตำแหน่งไหนก็ตาม Bluebik เปิดโอกาสให้ทุกคนมี Ownership ในงานของตัวเอง จึงทำให้มีอิสระในการทำงานมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาให้มี Learning curve ที่สูงด้วย จึงเป็นข้อดีสำหรับคนที่ต้องการความท้าทายและได้พัฒนาตัวเอง
  • ท้ายที่สุดคือ Culture ขององค์กรที่ทุกคนมี Empathy ให้กันระหว่างทำงาน เราไม่ได้สอนให้ทุกคน Work hard แต่ให้ Work smart เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีและบรรยากาศในการทำงานที่มีความสุขไปพร้อมกัน

เล่ามาถึงตรงนี้ หากใครสนใจอยากเข้ามาร่วมงานกับ Bluebik และเติบโตไปพร้อมกับทีม Management Consulting สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ bluebik.com/career หรือทักมาพูดคุยกันได้ที่ Facebook Bluebik Group